เมื่อวันที่ 7 พ.ค. นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า กรณีที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ที่ปรึกษาของรองนายกรัฐมนตรี กล่าวหาว่าตนเป็นโฆษกตลาดล่าง จากคำให้สัมภาษณ์ของตน เรื่องข้าวที่เก็บในโกดังนาน 10 ปี กินได้หรือไม่นั้น นายพร้อมพงศ์ คงไม่ได้อ่านคำให้สัมภาษณ์ของตน ที่บอกชัดว่าไม่มีใครขัดข้อง ถ้าข้าวที่เก็บไว้ในโกดังยังมีคุณภาพดี สามารถบริโภคได้ หุงได้ กินได้ จึงแนะนำให้หุงให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) กินตอนประชุม ครม. ทุกวันอังคาร และตนบอกหลักการว่าควรให้หน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง มาร่วมตรวจสอบเพื่อความชัดเจน กินโชว์ไม่ใช่เครื่องตรวจคุณภาพ ซึ่งนายพร้อมพงศ์ฟังไม่ได้ศัพท์แต่จับไปกระเดียด ตนเป็นโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ตรวจสอบท้วงติงตามหน้าที่เพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชน

“ถ้าจะบอกว่าเป็นโฆษกตลาดล่าง ก็ถูกต้องแล้ว ตลาดล่างชาวบ้านธรรมดาเขาผิดตรงไหน สื่อสารให้ชาวบ้านฟังไม่ดีตรงไหนถึงด้อยค่า นักการเมืองพรรคการเมืองที่แบ่งชนชั้นแบบนี้ๆ จบไม่ดีสักราย แต่ก็ยังดีที่เป็นโฆษกตลาดล่างดีกว่าเป็นโฆษกลิเกหลงโรง” นายราเมศ กล่าว

โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีถ้าขายข้าวได้ ทุกคนก็ดีใจด้วยอยู่แล้ว ขอให้ขายได้จริงๆ แต่ 200 ล้านบาท หรือ 400 ล้านบาท ก็เทียบกับที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก่อให้เกิดความเสียหายเป็นกี่แสนล้านบาท จากการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวไม่ได้ และจากนี้ต้องตรวจดูข้อมูลว่าโกดังที่เก็บข้าวจำนำ เป็นโกดังของใคร และได้ค่าเช่าจากการเช่าโกดัง 10 ปี เป็นจำนวนเงินเท่าใด กระทรวงใดหน่วยงานใดเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย การเก็บเป็นเวลากว่า 10 ปี ต้องฉีดยาทุก 3 เดือนใช่หรือไม่ รัฐนำเงินภาษีของประชาชนมาใช้ในส่วนนี้ ถามว่าต้องนำเงินภาษีมารับผิดชอบโครงการจำนำข้าวเป็นจำนวนเท่าไหร่ ถ้านายพร้อมพงศ์ตอบได้ ก็ช่วยออกมาตอบ เพราะประชาชนผู้เสียภาษีอยากรู้ข้อมูลที่แท้จริง และขอให้รับข้อท้วงติงไปตรึกตรองดู อย่าทำตัวเป็นรัฐบาลน้ำเต็มแก้ว ถ้าน้ำในแก้วเป็นน้ำเน่า ก็เททิ้งแล้วเอาน้ำดีใส่ไปบ้าง