สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 24 พ.ย. ว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แถลงเมื่อวันอังคารว่า เขาได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องระบายน้ำมันดิบ 50 ล้านบาร์เรล ออกจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ ( เอสพีอาร์ ) เพื่อบรรเทาสถานการณ์ราคาเชื้อเพลิงแพง และเพื่อช่วยเหลือเรื่องค่าครองชีพของประชาชน เบื้องต้นคาดการณ์ น้ำมันดิบทั้งหมดจะเข้าสู่ตลาดได้ ภายใน 2 สัปดาห์ นับตั้งแต่วันที่ผู้นำสหรัฐลงนามในคำสั่ง


แม้มีการวิเคราะห์ว่า การเตรียมระบายน้ำมันดิบจากคลังสำรองมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐ “ช้าเกินไป และเป็นการแก้ปัญหาในระยะสั้น” แต่ปัจจุบัน ราคาน้ำมันเบนซินของสหรัฐอยู่ที่ประมาณ 3.40 ดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 112.60 บาท ) ต่อ 1 แกลลอน ตามรายงานของสมาคมยานยนต์อเมริกัน ซึ่งเป็นราคาที่แพงขึ้นจากปีที่แล้วมากกว่า 50% และหลายฝ่ายร้องเรียนว่า ไม่อาจรับภาระราคาในระดับนี้ได้อีก


หลังจากนั้นไม่นาน รัฐบาลอินเดียประกาศเตรียมระบายน้ำมันดิบจากคลังสำรองของตัวเอง 5 ล้านบาร์เรล ขณะที่เกาหลีใต้และญี่ปุ่นยืนยันจะร่วมมือด้วย แต่กำลังตรวจสอบเงื่อนไขทางกฎหมายอย่างละเอียดอีกครั้ง ในส่วนท่าทีของจีนนั้น ทุกฝ่ายเชื่อมั่นว่าจะเข้าร่วมเช่นกัน ซึ่งจะเป็นความร่วมมือระหว่างประเทศแบบพหุภาคีครั้งแรกในเรื่องนี้ แม้เป็นการร่วมมือกันแบบเฉพาะกิจก็ตาม โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า จีนจะระบายน้ำมันดิบออกจากคลังสำรองของตัวเอง 30 ล้านบาร์เรล เกาหลีใต้และญี่ปุ่น ประเทศละ 10 ล้านบาร์เรล


ความเคลื่อนไหวดังกล่าว เกิดขึ้นในขณะที่องค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันออก ( โอเปก ) ที่มีซาอุดีอาระเบียเป็นหัวเรือใหญ่ ร่วมด้วยรัสเซีย ในนาม “โอเปกพลัส” ยังคงปฏิเสธเพิ่มเพดานการผลิต แต่ผู้สันทัดกรณีวิเคราะห์ว่า การดำเนินการของสหรัฐและอีกหลายประเทศ จะเร่งให้โอเปกพลัสต้องตอบสนอง ด้วยการเพิ่มเพดานการผลิตในอนาคตอันใกล้นี้


สำหรับคลังน้ำมันดิบสำรองทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐนั้น อยู่ภายใต้การควบคุมของกระทรวงพลังงาน ตั้งอยู่ตามแนวชายฝั่งรัฐเทกซัส รัฐลุยเซียนา และอีกหลายรัฐตามแนวชายฝั่งตะวันออกไปจนถึงตอนใต้ เก็บทั้งน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติเพื่อใช้ในยามฉุกเฉิน โดยในส่วนของน้ำมันดิบมีประมาณ 605 ล้านบาร์เรล.

เครดิตภาพ : AP