เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 2 มี.ค. ที่สถาบันบำราศนราดูร แรงานงานไทยลอตที่ 2 จำนวน 58 คน เดินทางกลับจากเมืองเคียฟ ประเทศยูเครน ซึ่งเป็นเมืองหลวงที่มีการปะทะกันอย่างรนแรง โดยทั้งหมดเมื่อเดินทางถึงประเทศไทยแล้ว เข้ามารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ที่สถาบันบำราศนราดูร ตามมาตรการควบคุมป้องกันโรคโควิด-19  

น.ส.รำพรรณ์ แหละวงษ์ อายุ 33 ปี เป็นชาวเชียงใหม่ พนักงานนวดสปาที่เมืองเคียฟ ประเทศยูเครน ซึ่งเป็นพื้นที่ปะทะทางทหาร กล่าวว่า ตั้งแต่ทางการยูเครน ประกาศภาวะฉุกเฉินในวันที่ 24 ก.พ. คนในเมืองต่างหลบซ่อนตัว เพราะมีการปะทะกันตลอดเวลา ส่วนตัวต้องหลบอยู่ในห้องพัก ในวันถัดมานายจ้างได้แนะนำให้ตนและพนักงานคนไทยอีก 17 คน หาทางออกจากเมือง เพราะเมืองเคียฟอันตราย ซึ่งทุกคนหลังออกมาจากห้องพัก ก็ต้องไปหลบซ่อนที่อุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดินซึ่งขณะนั้นไม่สามารถเดินรถได้แล้ว ภายหลังออกมาไม่นานประมาณ 6 ชั่วโมง ทราบว่าคอนโดฯ ที่ตั้งร้านก็ถูกถล่ม ต่อมาวันที่ 27 ก.พ. ได้พยายามประสานสถานทูตในกรุงวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ เพื่อขอความช่วยเหลือ ก็ได้ให้คำแนะนำออกมาจากอุโมงค์ ขึ้นรถไฟหนีมาที่เมืองทริฟ จะมีเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศรออยู่ นับว่าเป็นช่วงที่ยากลำบากมาก เพราะคนจำนวนมากหลายเชื้อชาติต่างคนต่างหนีตาย แย่งเบียดเสียดขึ้นรถไฟ ตนต้องทิ้งข้าวของทุกอย่าง เหลือเพียงเสื้อผ้า 2 ชุดเท่านั้น 

“ช่วงที่หลบหนีออกมา มีครอบครัว มีพ่อ มีแม่เป็นกำลังใจ ต้องเอาตัวให้รอดเพื่อกลับไปหาคนที่บ้านให้ได้ และมีเป้าหมายที่ต้องเดินทาง ซึ่งเรารู้ว่ายังมีเจ้าหน้าที่สถานทูตรอรับอยู่ การเดินทางต้องใช้เวลานานถึง 16 ชั่วโมง” น.ส.รำพรรณ์ กล่าว

ด่าน น.ส.อารี ทุมบุญ ชาวจังหวัดขอนแก่น อายุ 35 ปี กล่าวว่า ช่วงที่เบียดเสียด แย่งขึ้นรถไฟนั้น ตนเองตกรถ เพราะไม่สามารถเบียดตัวขึ้นไปได้ ทำให้รู้สึกเคว้งคว้าง ตกใจ ร้องไห้แข่งกับเสียงระเบิดที่ดังอยู่ตลอดเวลา บางคนบอกให้ไปหลบใต้ดิน แต่เพื่อนๆ พยายามบอกให้เราขึ้นรถมาให้ได้ ไม่อยากให้รอรถเที่ยวต่อไป เพราะอันตรายมาก รู้สึกโชคดีที่เพื่อนยังไม่ทิ้งเรา ตอนถึงเมืองทริฟ เหมือนได้รับชัยชนะ เรารอดตายแล้ว เจ้าหน้าที่สถานทูตเปิดโรงแรม ดูแลเรื่องการกินอยู่อย่างอบอุ่น รวมถึงให้เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่มให้เราด้วย.