ร้อนแรงหนักมากทีเดียวสำหรับช่วงใกล้โค้งสุดท้ายของคดีการตายปริศนาของดาราสาวสวย แตงโม นิดา ที่จากไปจากเหตุตกเรือกลางแม่น้ำเจ้าพระยา ท่ามกลางความสงสัยของคนไทยทั้งประเทศว่า คดีมีเงื่อนงำหรือเป็นแค่อุบัติเหตุ ล่าสุดรายการโหนกระแสได้สัมภาษณ์ นายสิระ เจนจาคะ อดีตประธานกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรมฯ สภาผู้แทนราษฎร กรณีที่พา กระติก อิจศรินทร์ เพื่อนสนิทสาวแตงโมไปให้การสารภาพว่าให้การเท็จ

โดย สิระ เผยว่า “คดีนี้มายุ่งยังไง จริงๆ ผมพักผ่อน เที่ยวอย่างเดียว แล้วอยู่ดีๆ มีโทรศัพท์จากพ่อคุณกระติกเข้ามาหาผม ตอนนั้นผมอยู่ต่างจังหวัด ต้องบินกลับมาเมื่อวานนี้บ่ายโมง เขาขอความช่วยเหลือ ขอคำปรึกษา เขาเห็นว่าผมช่วยเหลือลุงนิตจนได้ความยุติธรรมไปแล้ว เขาก็เชื่อมั่น และผลงานที่ผมทำหน้าที่ประธานกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรม ก็ช่วยเหลือประชาชนได้รับความยุติธรรมเยอะมาก กระติกโทรศัพท์มาเมื่อวานนี้ และนัดบ่ายโมง ก็ตกใจนะว่าจะมาจริงเหรอ คุณพ่อโทรฯ หาก่อนวันนึง ว่าจะพาลูกสาวไปปรึกษาด้านกฎหมาย เราก็ไม่เชื่อนะ ว่าจะมาด้วยซ้ำ ซึ่งเราไม่รู้จักกันเลย ปรากฏว่าเขามาจริงๆ มาเมื่อวานได้เจอตัวคุณพ่อกับคุณกระติก เมื่อวานบ่ายโมงตรง ตอนกระติกมาพบเขาต้องการคำปรึกษา และมีหมายเรียก ตร.โรงพักเมืองนนท์ให้ไปพบวันพุธ แล้วก็ให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาวันพุธ เราดูแล้วว่าในเมื่อตกเป็นผู้ต้องหา เราก็ต้องไปตามหมายเรียก แล้วมีอะไรจะเล่าให้เราฟังบ้าง เขาก็เล่าให้ฟังหมดทุกเรื่อง”

“เขาบอกว่าเขาติดกระดุมเม็ดแรกมันผิด ไปเชื่อกลุ่มทนาย หรือนักกฎหมาย หรือทะแนะ เรายังไม่รู้เขาอาชีพอะไร อ้างว่าเป็นนักกฎหมาย เช่นเรื่องมีไวน์กี่ขวด อะไรต่างๆ เหตุการณ์อะไรต่างๆ ในสำนวนผมไม่เห็น เขาไปเจอ ตร.ช้า เรื่องของแอลกอฮอล์ เรื่องสารเสพติดใช่มั้ย แล้วก็ให้คนในเรือเท่านั้นที่พูด ที่อยู่ในสำนวน ว่าแนะนำไปประมาณนี้ แต่จริงๆ แล้วผมว่าทนายชุดนี้ตกยุค ถ้าเป็น 30 ปีที่แล้ว มีแค่ 5 คนรู้ พูดทิศทางเดียวกันได้ แต่ตอนนี้มีเรื่องนิติวิทยาศาสตร์ เรื่องกล้องวงจรปิด เรื่องอะไรต่างๆ การสืบสวนสอบสวนพัฒนาเยอะ จำนนด้วยหลักฐานอยู่แล้ว ตร.ถึงแจ้งข้อหาทั้ง 5 คน ตร.รับตัว บันทึกปากคำใหม่ สารภาพหมดเปลือกเลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นบนเรือมีอะไรบ้าง ก่อนเกิดขึ้นบนเรือด้วยนะ นัดหมายต่างๆ เล่าจนหมด”

สิระ เล่าต่อว่า “กระติกไปสารภาพเรื่องไม่จริงคืออะไร ผมบอกไม่ได้ครับ เพราะเรื่องนี้กระติกรับสารภาพไปแล้ว จริงๆ ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย 4 คนก็ควรจะพูด เรื่องฟ้องร้องไม่ได้ปรึกษาทางผมนะ แต่คนที่ได้ประโยชน์จากทำให้คนเกิดความเกลียดชังเยอะ ได้ประโยชน์จากทำให้คนมาดูยอดไลค์ ได้งานแสดง ถ่ายแบบ หรือออกขายสินค้า ได้ผลประโยชน์จากการทำให้ประชาชนเกลียดชังกระติก และตัวเองได้ประโยชน์ พวกนี้ต้องโดน”

กระติก เผยว่า “เมื่อวานไป สภ.เมืองนนทบุรี เพราะไปรับสารภาพ เพราะหนูเพิ่งโดนแจ้งข้อกล่าวหา ก็รับสารภาพตามข้อกล่าวหาที่ตร.แจ้งค่ะ กรณีให้การเท็จ กับคุณสิระพอดีเพื่อนคุณพ่อเป็นทนาย เป็นมือขวาคุณสิระอยู่แล้ว ทำงานอยู่ในสำนักงานของคุณสิระค่ะ และเผอิญเราก็เห็นว่าคุณสิระทำคดีให้ลุงนิต ซึ่งมันก็เกี่ยวกับเรานี่แหละ ติกเลยไว้วางใจค่ะ คดีลุงนิต คุณสิระก็เข้ามาจัดการให้ เขามีสำนักงานกฎหมาย คนเป็นทนายให้กระติกเป็นเพื่อนพ่อด้วย มันเป็นจังหวะด้วยที่เข้าไปคุย ปรึกษาเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ว่าหนูโดนแจ้งข้อกล่าวหาแบบนี้ ต้องยังไงดี ประมาณนี้ค่ะ กับจ๊อบปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา เราไม่ได้คุยกับใครเลย มีคุยเรื่องอื่น เรื่องเหตุที่เกิดบ้าง แต่เรื่องคำให้การ เราไม่ได้คุย ติกไม่มีเบอร์จ๊อบ ติกกับจ๊อบไม่ได้คุยกันเลย ไม่มีเบอร์โทรฯ หากัน ติกมีเบอร์แซน เบอร์ปอ แต่กับพี่เบิร์ต มีคุยช่วงแรกๆ ช่วงแกบวชจนสึกออกมา ก็ไม่ได้คุยเลยนะ”

“ถามว่าแก๊งบนเรือแตกคอไหม ไม่มีนะคะ คือคุยปกติ ยึดหลักตามจริง จริงก็ว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ แบบนั้นเลย แต่คนอื่นติกไม่ทราบว่าเขาให้การยังไง หนูไม่รู้ไม่เห็นคำให้การของใคร แต่คำให้การของติก ติกพิจารณาแล้ว ตรงไหนจริงก็จริง ตรงไหนไม่ก็ไม่ ตรงไหนเราไม่เห็นก็บอกว่าไม่เห็น ยึดหลักความจริง แค่นั้นเลย เรื่องไม่เห็นแตงโมฉี่ท้ายเรือ หนูไม่เห็น เพราะหนูนั่งข้างหน้า อย่างที่เคยเล่าให้ฟังว่านั่งหันหน้าออกไปดูวิว มันไม่ได้เห็นเหตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่แซนเป็นคนบอก เพราะแซนอยู่กับโมคนสุดท้ายค่ะ แต่พวกนี้จะอยู่ในคำให้การและรายละเอียดอื่นๆ ก็อยู่ในสำนวนหมดแล้ว แต่ ณ จุดนั้นถามว่าเราเห็นมั้ย ก็ยืนยันว่าเราไม่เห็น แซนเป็นคนบอกค่ะ”

“เรื่องให้การไม่ตรงครั้งแรก จริงๆ ติกให้การเรื่อยๆ อยู่แล้ว ไม่ใช่แค่ให้การเมื่อวาน ตลอดที่เรียกเข้าไปครั้งแรกให้การแบบนี้ๆ แต่นึกอะไรได้ก็เพิ่มตลอดทุกครั้งนะคะ ซึ่งที่พูดเมื่อวานก็เคยพูดไปแล้วด้วยเหมือนกัน แต่เมื่อวานมันเป็นการโดนแจ้งข้อกล่าวหา หนูก็ไปรับทราบข้อกล่าวหาและยอมรับสารภาพ แต่ก่อนหน้านั้นหนูไม่ได้โดนแจ้งข้อกล่าวหาไง นึกออกมั้ย บางคนอาจบอกว่าทำไมคิดช้า หนูไม่ได้คิดช้านะ หนูให้การตลอดและเป็นประโยชน์ด้วย เหมือนให้การเพิ่มเติม เราจำผิด เชื่อผิดก็ไปให้การใหม่ วันนี้ไม่ใช่สีนี้นะ จำผิด นี่ยกตัวอย่างนะคะ เรื่องโยนของทิ้งน้ำ ไม่ๆ หนูไม่ได้โยน อันนี้ยืนยันร้อยเปอร์เซ็นต์ กล้าพูดได้เลย เพราะไม่ได้จับขวดเลยพี่ ตั้งแต่ลงที่เรือ จับแต่แก้วค่ะ ไม่ได้โยนค่ะไม่ใช่หนูค่ะ อันนี้กล้าปฏิเสธได้ เพราะมันส่วนของหนูเนอะ อันนี้อยู่ในสำนวน ขอเลี่ยงตอบค่ะ ตามนั้นค่ะ ทิ้งก็บอกว่าทิ้ง ไม่ก็บอกว่าไม่ คนอื่นติกไม่พูดตรงนี้แล้วกัน”

กระติก เล่าต่อว่า “อันนี้เป็นเรื่องอัยการกับทางเจ้าหน้าที่ ตร. ว่าต้องยังไง หนูรอปฏิบัติตามเขา เขาให้ทำยังไงก็ตามนั้น เพราะเรารับสารภาพไปแล้ว อันนี้เป็นเรื่องกระบวนการ ต้องถามทางทนายว่าจากนี้จะยังไงต่อ เพราะหนูไม่มีความรู้ด้านนี้ เรื่องฟ้องบุคคล 2-4 ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ก็อยากจะพูดแบบรวมๆ ในภาพกว้างแล้วกันนะคะ ว่าทุกคนมีสิทธิแสดงความคิดเห็นอยู่แล้ว แต่ถ้าความคิดเห็นนั้นไปทำให้เขาเสียหาย ไปทำร้าย ไปบิดเบือน คนเข้าใจผิด หรือปลุกปั่นให้คนเกิดความเกลียดชังกับเรา มันก็เป็นเรื่องที่คุณต้องรับผิดชอบ คือใครพูดอะไรไว้ ก็ต้องรับผิดชอบคำพูดตัวเองค่ะ แต่สำหรับประชาชนทั่วไปเราเข้าใจนะว่าทุกคนรักโม มีอารมณ์ร่วมกับข่าว อาจเข้าใจกันไปต่างๆ นานาแหละ ถูกบ้างผิดบ้างมาคอมเมนต์อะไรถึงเรา อันนี้ติกเข้าใจได้ ไม่ว่ากัน แต่สำหรับคนที่เป็นตัวปั่น สร้างความเกลียดชัง โจมตีแบบนี้ ไม่ได้หมายถึงพี่หนุ่ม”

“เรื่องคนในโซเชียลด่าเรา เราไม่ว่าเพราะมีคนชี้นำเขา เขาไม่รู้จักเรา เขาไม่รู้เหตุการณ์ เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย เขาก็ดูตามข่าว พอเห็นข่าวเขาก็มีอารมณ์ร่วม พอมีคนชี้นำเขาก็มีอารมณ์ร่วม ติกเข้าใจหมดแหละ แต่พวกชี้นำทั้งหลายคืออะไร ส่วนหมอของขวัญ แอนนา ฮิปโป ฟ้องไหม อันนี้ติกไม่ขอพาดพิงถึงใคร ติกทิ้งคำพูดไว้แค่นี้ว่าใครพูดอะไรไว้ ก็จงรับผลจากการกระทำเหล่านั้น รับกรรมจากสิ่งที่พูดไปค่ะ ใครพูดอะไรไว้ให้รับผิดชอบคำพูดตัวเองที่พูดออกไปค่ะ เรามีดำเนินเรื่องไปบ้างแล้วส่วนหนึ่งค่ะ เห็นเงียบๆ อย่างนี้ หนูไม่ได้อยู่บ้านเฉยๆ นะคะ ไม่ได้เก็บตัวอยู่บ้านนะ หนูใช้ชีวิตปกติ คุยกับทนาย ดำเนินการอะไรที่เราทำได้ก็ทำ มีเจ้าหน้าที่เรียกไปเราก็ไป ออกจากบ้านปกติ ไปส่งลูกที่โรงเรียนค่ะ รับลูกส่งลูกเองทุกวัน และจบเรื่องหนูไม่บวชเพราะหนูเป็นคริสเตียน”

นอกจากนี้มีการโฟนอิน ประยุทธ เพชรคุณ รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เรื่องกรณีนี้ถูกส่งไปศาลแขวง ทำไมอัยการถึงให้ตีกลับ “สั้นๆ อย่างนี้นะครับ พอสำนวนเข้ามาปั๊บ ทางท่านอัยการจังหวัด คือท่านสาวิตรีและคณะอัยการทั้งหมดก็ประชุมกันว่าเรื่องนี้ปรากฎทางสื่อมวลชนชัดเจนแล้วว่ามันมีเหตุการณ์การให้การเท็จ ที่แจ้งความเท็จสืบเนื่องมาจากการตายของคุณแตงโม และปรากฏทางสื่อมวลชนชัดเจนว่ามีหลายข้อหา และมีหลายคนเกี่ยวข้องอยู่ในเหตุการณ์ การที่จะสรุปสำนวน สรุปบันทึกพร้อมวาจามาให้อัยการ เพื่อฟ้องไปเลย มันเป็นกรณีที่อัยการต้องใช้ความละเอียดลออในการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเพราะหากฟ้องไป สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือหนึ่งแนวคำตัดสินของศาลจะเป็นบรรทัดฐาน และไปเชื่อมโยงเรื่องอื่นๆ ในเรื่องของคดีหลัก สำคัญที่สุดความยุ่งยาก ซับซ้อน ไม่มีความกระจ่างตรงนี้ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรีบร้อนฟ้องไป กรณีเช่นนี้ หากเป็นบันทึกฟ้องวาจาในเรื่องยุ่งยาก ซับซ้อน และเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องหลายเรื่อง ก็ไม่จำเป็นต้องฟ้องทันที ส่งกลับไปให้พนักงานสอบสวน สอบสวนเต็มรูปแบบให้เสร็จสิ้นก่อนแล้วส่งกลับมาพิจารณาใหม่ ประเด็นคือถ้าเรารีบฟ้องไป แล้วศาลตัดสิน เกิดศาลตัดสินแล้วมีประเด็นหลักที่ไปไกลกว่านั้น แล้วมันไปต่อไม่ได้ ฟ้องใหม่อีกไม่ได้ หากต้องฟ้องซ้ำ นั่นคือประการที่หนึ่ง สองเราเคยมีบทเรียนบันทึกฟ้องวาจาส่งมาให้เราฟ้องว่าทำร้ายร่างกายผู้อื่นธรรมดาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 เราฟ้องไป ปรากฏว่าหลังจากนั้นคนป่วยยังไม่ออกจากรพ. กลายเป็นคนพิการสาหัส ได้ความว่าเป็นพยายามฆ่า ซึ่งมันฟ้องซ้ำใหม่ไม่ได้ เราเลยไม่จำเป็นต้องรีบร้อน หากสุดท้ายส่งมา จะพิจารณาอีกครั้งหนึ่งครับ”