จัดเป็นอีกหนึ่งนักร้องนักแสดงเจ้าเสน่ห์หนุ่ม ปีเตอร์ คอร์ป ไดเรนดัล ที่ล่าสุดมาเป็นแขกรับเชิญคนพิเศษในรายการ Club Friday Show พร้อมเปิดแบบหมดเปลือกทุกเรื่องราวของชีวิตในเรื่องราวของชีวิต ว่ากว่าจะมาเป็น ปีเตอร์ ที่ทุกคนรู้จักในวันนี้เส้นทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเลย พร้อมยังเปิดใจครั้งแรกในช่วงที่หายตัวไป และเผยถึงสถานะหัวใจที่ตอนนี้กำลังเริ่มต้นเป็นสีชมพูอีกครั้ง

ปีเตอร์ เผยว่า “เรื่องเข้าวงการถ้าถ่ายแบบที่เมืองไทยเพื่อนๆที่เดนมาร์กคงไม่รู้หรอก เงินก็เอากลับไปซื้ออะไหล่มอเตอร์ไซค์ได้ ลองดูก็ได้ ก็เลยได้เริ่มถ่ายแบบตั้งแต่ตอนอายุ 17 ปีครับ ตอนเกือบๆ 19 ปี ก็มีคนโทรศัพท์มาตามบอกว่าอยากให้กลับมาถ่ายโฆษณาเขาก็บอกเราว่าได้เงินแสนกว่าบาทเลยเราก็ อุ้ย…ได้เงินมาซื้ออะไหล่เยอะเลย แต่ตอนนั้นผมทำงาน Part Time ไปด้วยเรียนไปด้วย อยู่บริษัททนาย แต่เราก็รู้สึกว่ามันไม่มีเวลาทำในสิ่งที่เราอยากทำเพราะเราทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ผมก็เลยกะว่าเอาอย่างนี้ ผมเบรกสัก 1 ปี ผมก็ไปคุยกับทางโรงเรียน ทางโรงเรียนก็บอกว่าได้เลยคุณจะเบรกสัก 1-2-3 ปีได้เลย เพราะเกรดของคุณ 3 มาตลอด ถ้าอย่างนี้ผมก็มาถ่ายโฆษณาได้เงินก้อน ซึ่งพอได้เงินก้อนผมก็จะเอาเงินก้อนนั้นมา Start up แล้วก็อยู่สัก 1 ปี เก็บเงินแล้วกลับไปเรียนต่อโดยไม่ต้องทำงาน แต่ผมไม่ได้กลับครับ (หัวเราะ) ก็เลยยาวเลยครับ เพราะว่าผมพอมาได้สักประมาณ 6 เดือน คือ ผมมาได้ไม่ได้ก็มีคนติดต่อ ผมก็เข้ากระบวนการลองเทสต์เสียงนู่นนี่เสร็จปุ๊บ ก็ได้เซ็นสัญญากับแกรมมี่ก็เลยยาวเลย ตอนนั้นก็ได้เข้าเป็นศิลปินฝึกหัด ผมย้ายมาประมาณ 2 ปีกว่า กว่าจะได้ออกอัลบั้ม”

ผมจำขึ้นใจเลยพี่ๆทุกคนบอกว่าอดเปรี้ยวไว้กินหวาน คือ งานของผมกำลังฮอตเลย ถ่ายโฆษณามาเสร็จปุ๊บ ก็เป็นจุดเปลี่ยนหนี่งที่ทำให้คนรู้จักผมมากขึ้น เดินมาบุญครองคนก็บอกอะไรอย่างนี้ งานถ่ายแบบก็เข้ามาเยอะขึ้น งานโฆษณาก็เข้ามาแต่ทุกคนก็จะบอกว่าอดเปรี้ยวไว้กินหวาน แปลว่าอย่าเพิ่งรับงานแต่เขาก็ไม่ได้เชิงห้ามนะครับ แต่บอกว่าอย่าเพิ่งรับดีกว่า ซึ่งก็กว่าจะได้ออกอัลบั้มจริงๆคือ 2 ปี จนไม่มีกินครับ เชื่อไหมตอนนั้นผมเช่าอพาร์ตเมนต์อยู่ห้องติดกับ ลีโอ พุฒ เลย ซึ่งมีอยู่วันหนึ่งที่อีกวันจะเข้าไปรับเช็คแล้วต่างคนต่างเงินก็หมด ซึ่งช่วงนั้นถ้าผมมีผมก็เลี้ยงเพื่อน ถ้าเพื่อนมีก็เลี้ยงผม ซึ่งอีกวันจะไปรับเช็ค แต่วันนี้เงินหมดแล้วรถที่ซื้อมาน้ำมันเหลือน้อยมากแล้วผมก็ไม่มีเงินเติมน้ำมันแล้ว แต่พรุ่งนี้ต้องขับรถไปรับเช็คแล้วเราสองคนทำยังไงรู้ไหมครับ เราก็รื้อโซฟาทั้งสองห้องที่เราอยู่ทั้งสองห้องเก็บเหรียญแล้วก็เดินไปซื้อพายไก่ 1 ชิ้น 20 บาท แล้วแบ่งกันทานคนละครึ่ง ส่วนน้ำมันที่เหลือติดรถอยู่ผมก็ขับไปลุ้นไปว่าจะถึงหรือเปล่า ปรากฏว่าถึงครับ ซึ่งครอบครัวของผมไม่ได้อยู่ที่ไทยแล้วก็ ศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายผมจะไม่ขอเงินพ่อแม่เราจะต้องเลี้ยงดูตัวเองให้ได้”

ปีเตอร์ เผยต่อว่า “เรื่องที่มีข่าวประกาศตามหาผม มันก็มีหลายอย่างนะครับ ก็เป็นปัญหาครอบครัวนั่นแหละ ซึ่งวันนี้ผมก็ขอไม่พูดถึงรายละเอียดนะครับ คือ จริงๆแล้วถ้าผมจะพูด ผมพูดไปตั้งนานแล้ว แต่มันก็ไม่ใช่แนวทางผม แต่ก็พอเล่าให้ฟังคร่าวๆได้จริงๆแล้วมันก็มีปัญหาอยู่แล้ว แต่ผมรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ว่าพอมันอยู่ด้วยกันแล้วมันเป็นเรื่องที่มันไม่ดี มันมีเรื่องที่ทะเลาะกันบ่อยอยู่พอสมควร แล้วทะเลาะกันผมรู้สึกว่าจริงๆแล้วผมเป็นคนไม่ชอบทะเลาะ แต่พอมาถึงจุดหนึ่งแล้วเหมือนใครที่โดนจี้จุดอยู่นานๆในที่สุดต่างคนต่างก็ขึ้น ผมก็พยายามถอยก่อนเดี๋ยวพอเย็นๆแล้วค่อยคุยกันต่อไหม ผมก็ใช้วิธีว่าเดี๋ยวออกไปข้างนอกก่อนแล้วกัน เดี๋ยวไปขี่มอเตอร์ไซค์เล่นข้างนอกอย่างนี้ เพราะว่าขี่มอเตอร์ไซค์มันเป็นอะไรที่ต้องใช้สมาธิในการขับขี่ มันก็จะไม่นึกถึงเรื่องอื่น พอไม่นึกถึงเรื่องที่เราทะเลาะกันอย่างนี่มันก็จะใจเย็นลงแล้วก็ค่อยกลับไปคุยใหม่อย่างนี้ครับ แต่ก็รู้สึกว่ามันก็ไม่ดี ไม่ได้คลายสถานการณ์สักที แล้วมันก็จะถี่ขึ้นเรื่อยๆด้วยหลายๆเหตุผล ซึ่งในที่สุดผมก็เลยรู้สึกว่าผมต้องถอยห่างแล้วว่าจริงๆแล้วคือไม่ใช่อยู่ๆผมหายไปนะ แต่ผมคิดว่าคือ มันจำเป็นต้องทำ หลายคนคิดว่า ปีเตอร์ ทิ้งลูก แต่ผมคิดว่าอันนี้น่าจะเป็นวิธีที่ทำให้ลูกไม่ต้องรับรู้ ไม่ต้องรับฟัง ไม่ต้องรู้สึกอะไรที่เด็กไม่ควรรับรู้ ตอนแรกผมก็ยังมีความหวังว่าออกมาสักพักแล้วกลับไปคุยใหม่แล้วมันจะดีขึ้นไหม แต่ในที่สุดมันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น ในที่สุดก็เลยแยกตัวออกไป ก็เลยแยกยาวเลย”

“มีคอมเมนต์ต่างๆนานา 2-3 หมื่นคอมเมนต์เลยครับ แล้วก็มีคอมเมนต์ที่ชมผมมากเลย 2-3 หมื่นคอมเมนต์ ซึ่งมันก็รู้สึกไม่ดีหรอก แต่ผมไม่ใช่แนวคนที่จะออกมาทำคะแนนเข้าตัวเอง แล้วในที่สุดเรื่องราวที่มันเกิดขึ้นในบ้านมันก็เป็นเรื่องภายในครอบครัว ผมคิดแบบนี้เสมอ และที่สำคัญที่สุดคือการออกไปพูดคุยแก้ตัวอธิบายผมรู้สึกว่ามันแค่ออกไปต่อยอดข่าว เดี๋ยวข่าวจะกลายพันธ์ุไปแล้วมีประเด็นใหม่ขึ้นมาทุกๆคนก็ตีความไปเอง เรื่องคนคุยตอนนี้ก็มีคนหนึ่งที่เพิ่งเริ่มคุยแต่ก็ยังไม่นานมากครับ แต่ก็นานพอที่ได้รู้ว่าเขาน่ารักมาก”

ผมว่าทุกคนรู้ครับ คือตอนแรกผมก็สงสัยนะคือทุกอย่างเริ่มจากการเอ๊ะ .. ทำไมคนนี้น่าสนใจดี แล้วเขาก็คงจะรู้สึกอย่างนี้เหมือนกันแล้วพอได้คุยกันไปมามันจูนเข้ากันได้ดี จนถึงจุดหนึ่งที่ผมก็ถามเลยคือผมก็รู้ตัวไงว่าประวัติของผมเป็นอย่างไรบ้าง ผมก็ถามเขาไม่สงสัยเหรออะไรอย่างนี้ว่าอะไรเป็นอะไร เพราะเขาไม่ถามอะไรเราเลย ซึ่งเขาก็บอกว่าไม่นะ คือเขาบอกว่าเขาจะเวตทุกอย่างจากสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ สิ่งที่เขารู้สึกตอนนี้อะไรอย่างนี้ แต่ผมก็ได้พูดคุยอธิบายอะไรบางอย่าง จริงๆแล้วคือ ถ้าสมมุติว่าอันนี้พูดคุยน่ารัก แต่คือ ถ้าสักวันที่วันมีอะไรที่ซีเรียส แน่นอนคนรอบข้างตัวเขาด้วยความเป็นเพื่อนสนิท ด้วยความเป็นสมาชิกของครอบครัว ด้วยสัญชาตญาณของเขาต้องปกป้องคนนี้ ต้องมีคำถามแน่นอนครับ ผมก็บอกว่าถ้าใครมีคำถามหรือสงสัยอะไรบอกผมได้นะ ผมจะไปอธิบายเองให้ได้ว่าจริงๆแล้วมันมีอะไรเกิดขึ้นบ้างและทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ ผมยินดีครับ เพราะผมไม่มีอะไรปิดบังไม่มีอะไรซ่อนอยู่แล้วครับ”

บทเรียนในแต่ละช่วงชีวิตหรือในแต่ละสถานการณ์มีความแตกต่างกันไป แล้วก็บางทีเราเจ็บ บางทีเราเข็ด แต่ว่าบางทีเราก็ผิด แต่ว่าบทเรียนที่เราผ่านมาไม่ใช่แต่จะก้าวผ่านแต่เราเก็บไว้จำไว้แล้วก็เอามาปรับปรุง เพราะฉะนั้นเรื่องราวของความรักพอโตขึ้นชีวิตของคนเรามันจะนิ่งขึ้น ตัวเราบุคลิกเราจะนิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นคือไม่รีบนะครับ ใช้เหตุและผลดูกันหน่อย เข้ากันได้ดีจริงๆไหมเพราะว่าอย่างที่ว่าคำว่าเอ๊ะ !! เมื่อกี้ ที่แบบว่าสัญญาตญานของเรา พอเราเอ๊ะ !! ปุ๊บ ทำไมมันเป็นอย่างนี้ มันไม่ใช่เรื่องของความชู้สาวอย่างเดียวแต่บางทีในเรื่องของนิสัยที่มันไม่ได้เข้าด้วยกันตั้งแต่แรก แต่ด้วยว่า puppy love ทั้งเราและเขาก็พยายามทำให้เขาดูว่าเราดีที่สุด และเรายอมที่จะมองข้ามจุดอะไรหลายๆอย่างตรงนี้ไป แต่พอยาวๆเข้าไปปุ๊บ เขาก็ต้องบอกว่าตัวจริงของเราและเขาปรากฏ เอาจริงๆเวลานั้นเราอาจจะเข้ากับเขาไม่ได้ก็ได้”