‘ก้าวไกล’ เปิดยุทธการสู้ศึกสภา
“คือไม่ได้เป็นฝ่ายค้านที่ทำหน้าที่เป็นเงาที่ตามไล่บี้รัฐบาล หรือวิจารณ์สิ่งที่รัฐบาลทำอย่างเดียว แต่พยายามจะเป็นฝ่ายค้านที่เป็นแสงในการนำทางหรือยื่นขอเสนอแนะให้กับรัฐบาล”
“คือไม่ได้เป็นฝ่ายค้านที่ทำหน้าที่เป็นเงาที่ตามไล่บี้รัฐบาล หรือวิจารณ์สิ่งที่รัฐบาลทำอย่างเดียว แต่พยายามจะเป็นฝ่ายค้านที่เป็นแสงในการนำทางหรือยื่นขอเสนอแนะให้กับรัฐบาล”
กระทรวงพาณิชย์ในยุคของภูมิธรรม เวชยชัย จะทำงานอย่างสมาร์ท สามารถที่จะก้าวทันโลกได้ สามารถขยายฐานสินค้า และสามารถขยายตลาดได้กว้างขวางขึ้น
แถลงนโยบายรัฐบาลต่อที่ประชุมรัฐสภาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับคณะรัฐมนตรี ชุดใหม่ ครม.เศรษฐา 1 “คอลัมน์ตรวจการบ้าน” จึงต้องมาสนทนากับ ชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย “รัฐมนตรีสายล่อฟ้า” อีกคนหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญและเป็นคนที่ถูกจับตามองถึงบทบาท ในการเข้ามาทำหน้าที่ในกระทรวงมหาดไทย กับภาพลักษณ์ฉายา “เจ้าพ่อลุ่มน้ำสะแกกรัง” ที่ติดตัวมา จะบริหารบ้านเมืองไปให้ทิศทางใดในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชน
ค่อนข้างจะเป็นที่เซอร์ไพร้ส์ของสังคม และเป็นที่เซอร์ไพร้ส์ในวงการทหาร เมื่อมีพลเรือเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
เป็นอันชัดเจนกับหน้าตา “ครม.เศรษฐา 1” ภายใต้การนำของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่สังคมมีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม จะสามารถพาประเทศขับเคลื่อนไปข้างหน้าจนครบเทอมได้หรือไม่นั้น “คอลัมน์ตรวจการบ้าน” จึงต้องมาสนทนากับ ดร.สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย วิเคราะห์ถึงการจัดสรรโควตารัฐมนตรีที่ไปลงกระทรวงต่างๆ พรรคเพื่อไทย เสียเปรียบทางการเมืองหรือไม่
ได้เห็นโฉมหน้าแล้วสำหรับนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย นั่นคือ “เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน จากพรรคเพื่อไทย ด้วยการผสมพันธุ์ข้ามขั้วรัฐบาล 314 เสียงจาก 11 พรรคการเมืองที่ได้รับเสียงหนุนจาก สว.อย่างท่วมท้น ขณะที่พรรคก้าวไกล ซึ่งชนะเลือกตั้งอันดับ 1 ประกาศถอยเป็นฝ่ายค้าน
การเมืองช่วงนี้สปอตไลท์ต้องส่องมาที่พรรคเพื่อไทย (พท.) พรรคที่ได้คะแนนจากการเลือกตั้งอันดับสองลองจากพรรคก้าวไกล แต่กลับผงาดขึ้นเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยภารกิจแรกคือการรวบรวมเสียงจากพรรคการเมืองต่าง ๆ เพื่อให้ได้เสียงเกิน 375 เสียง ในการฝ่าด่านโหวตในที่ประชุมรัฐสภา
ในสถานการณ์ที่อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเมืองไทย กับความพลิกผันของเกมการเมืองซึ่งพรรคก้าวไกลที่ชนะเลือกตั้งอันดับหนึ่งมีอันต้องถูกผลักไปเป็นฝ่ายค้าน ขณะที่ในส่วนของผู้ผ่านสนามการเมืองมาก่อนอย่าง “คณะก้าวหน้า” ก็กำลังขับเคลื่อนภารกิจการเมืองนอกสภาอย่างต่อเนื่อง
เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าสัญญาใจเอ็มโอยู 8 พรรคร่วมรัฐบาลถูกฉีกเป็นที่เรียบร้อย หลังพรรคเพื่อไทยสลัดพรรคก้าวไกลที่ชนะการเลือกตั้งอันดับหนึ่งไปเป็นฝ่ายค้าน พร้อมพลิกขั้วจัดตั้งรัฐบาลพันธุ์ผสมกับซีกอนุรักษ์นิยมที่เคยต่อสู้ห้ำหั่นกันมาอย่างยาวนานกว่าทศวรรษ
เรียกว่าเจอสารพัดด่านหินคอยสกัดสำหรับ“พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล ไม่ให้เดินไปสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีและจัดตั้งรัฐบาลได้ จนสุดท้ายต้องส่งไม้ต่อให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ตามด้วยแรงบีบจากทุกทิศทางให้สละเรือเพื่อให้การตั้งรัฐบาลเดินหน้าไปได้
สนามการเมืองระดับชาติอย่างการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่14 พ.ค.2566 ปิดฉากลงพร้อมผลการแข่งขันที่สั่นสะเทือนหลายพรรคการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่คว้าเก้าอี้ส.ส.ได้เพียง 25 ที่นั่ง นำไปสู่การเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคฯ เกิดการเดินเกมช่วงชิงอำนาจกันอีกครั้ง
หลังจากผ่านพ้นการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 14 พ.ค.2566 จนมาถึงปัจจุบันที่สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ได้ผู้ดำรงตำแหน่งประธานและรองประธานสภาฯ ครบสมบูรณ์
ในวันที่ 13 ก.ค.นี้ จะมีการประชุมรัฐสภาเพื่อโหวตนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 โดยเสียงสำคัญ คือ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่จะผ่าน – ไม่ผ่าน ให้กับ “ทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี คนที่ 30
งวดเข้ามาแล้วสำหรับสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งกำลังจะมีการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรในช่วงต้นเดือน ก.ค.นี้ ท่ามกลางกระแสข่าว “ดีลรัก ดีลลับ” ซีกเสียงข้างน้อยอาจพลิกเกมจัดตั้งรัฐบาล พร้อมๆ มรสุมทางการเมืองที่ซัดเข้าใส่พรรคก้าวไกล แกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล 8 พรรค 312 อย่างไม่มียั้งในช่วงเวลานี้
โค้งสุดท้ายการเริ่มต้นเส้นทางการเมืองขั้วใหม่ที่กำลังก่อร่างสร้างตัวตั้งรัฐบาลที่นำโดยพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี อย่าง “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์”