อ่านเอกสารเกี่ยวกับความเป็นมาของการจัดหาวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 เริ่มครั้งแรกเมื่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติวันที่ 17 พ.ย.63 เห็นชอบจัดซื้อวัคซีนแอสตราเซเนกา ด้วยงบประมาณรายจ่ายประจำปี 64 (งบกลาง) ตามที่กระทรวงสาธารณสุข เสนอมาจำนวน 2,379.43 ล้านบาท

ต่อมา 5 ม.ค. 64 ครม.อนุมัติงบกลางอีก 2,150.38 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อวัคซีนซิโนแวค 2 ล้านโด๊ส จากนั้นวันที่ 2 มี.ค.64 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ทำหนังสือถึงเลขาธิการ ครม. ให้นำเรื่องเสนอ ครม. เพื่อขอสนับสนุนงบกลาง ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี 64 จำนวน 6,387,285,900 บาท เพื่อจัดหาวัคซีน 35 ล้านโด๊ส

ครม.จึงอนุมัติในวันที่ 2 มี.ค. 64 ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ แต่ทั้งนี้ได้ย้ำให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งดำเนินการตามแผนกลยุทธ์การบริหารจัดการวัคซีนโควิด-19 รวมทั้งกำกับติดตามการดำเนินการที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปอย่างโปร่งใส และตรวจสอบได้ เพื่อให้คนไทยทุกคนได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึง มีประสิทธิภาพสูงสุด

จนถึงปัจจุบัน “พยัคฆ์น้อย” จำเป็นต้องขีด “เส้นใต้” ช่วงประโยคที่ว่า ให้เป็นไปอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้ เพื่อให้คนไทยุกคนได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึง มีประสิทธิภาพูงุด

ดังนั้นวันนี้ (16 ก.ค.) ต้องถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม รวมทั้ง ผอ.ศบค. (ศูนย์ปราบโควิด) กับนายอนุทินว่าการสั่งซื้อวัคซีนแอสตราฯ และซิโนแวคเป็นไปอย่างโปร่งใสหรือไม่ ราคาโด๊สละเท่าไหร่?

ถ้าตรวจสอบได้ แล้วทำไมไม่เอาสัญญาการจัดซื้อวัคซีนออกมาให้ ส.ส.ฝ่ายค้าน ดูอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่ปิดบังอำพรางตรงโน้นตรงนี้

ที่สำคัญคือเอางบกลางไปละลายแม่น้ำจำนวนมาก แต่คนไทยยังได้รับวัคซีนอย่างไม่ทั่วถึง แถมเป็นวัคซีนประสิทธิภาพต่ำ ตามไม่ทันเชื้อโควิดกลายพันธุ์ แม้พยาบาลจะฉีดแล้ว 2 เข็ม ก็ยังตาย!

แต่รัฐบาลตะบี้ตะบันสั่งวัคซีนที่คนไม่อยากฉีดเข้ามาเพิ่มอีกกว่า 10 ล้านโด๊ส แถมยังสวนทางโลกแบบผิดแปลกแหวกแนวไปจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ด้วยสูตรผสมใหม่ฉีดซิโนแวค 1 เข็ม แล้วข้ามบริษัทมาฉีดแอสตราฯอีก 1 เข็ม

สูตรผสมใหม่ที่ว่านี้นายอนุทินเห็นด้วย แต่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่คล้อยตาม และสั่งชะลอออกไปเพื่อศึกษาผลกระทบให้ละเอียดรอบด้านก่อน สรุปคือนายกฯ ไปทาง รมว.สาธารณสุขไปอีกทาง การแก้ปัญหาโควิดจึงเละตุ้มเป๊ะ!

นี่ขนาดมีวัคซีนทางเลือก “ซิโนฟาร์ม” เข้ามาช่วยกู้หน้ารัฐบาลช่วงปลายเดือน มิ.ย. 64 จำนวน 1 ล้านโด๊ส และตามเข้ามาเมื่อสัปดาห์ก่อนอีก 1 ล้านโด๊ส ซึ่งกำลังทยอยฉีด รวมทั้ง“แอสตราฯ” ที่รัฐบาลญี่ปุ่นบริจาค 1.05 ล้านโด๊ส รัฐบาลสหรัฐ อเมริกาบริจาค “ไฟเซอร์” อีก 1.5 ล้านโด๊ส เรียกว่าถ้าไม่มีวัคซีน 3 ตัวนี้เข้ามาช่วย สภาพชีวิตคนไทยคงดูไม่จืด!

ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเมื่อ 2 หน่วยงาน คือ “ทีดีอาร์ไอ” ออกมาฟาดรัฐบาลว่าควบคุมการระบาดโควิดและบริหารวัคซีนผิดพลาด งานนี้ต้องมีผู้รับผิดชอบ!

ในขณะที่ “ผู้ตรวจการแผ่นดิน” ทำหนังสือถึง พล.อ. ประยุทธ์ในฐานะผอ.ศบค. เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.64 ว่าควรเร่งจัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพ ให้ครอบคลุมทั่วถึง ทันต่อเวลาการแพร่ระบาดโควิด และควรเร่งกระจายวัคซีนทางเลือกด้วย

จากสภาพปัญหาตลอดจนข้อท้วงติงทั้งหมด จึงถึงเวลาแล้วที่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องรีบปลด! นายอนุทินออกจากตำแหน่ง แต่ถ้าอุ้มกระเตงกันเอาไว้ จะถือว่านายกฯ เป็นตัวการร่วมกันละเว้นฯ จนนำไปสู่การทำงานที่ไร้ประสิทธิภาพ ส่งผลทำให้คนไทยเจ็บป่วยล้มตายจำนวนมาก ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์มีโอกาสเจอแจ้งเอาผิดตามมาตรา 157 อย่างแน่นอน!!.

——————–

พยัคฆ์น้อย