เมื่อวันที่ 20 ก.ค. นายนรากร อิสระวรางกูล หรือ พอร์ส นักร้องนำวง yes indeed band พร้อมกับ ทนายตั้ม หรือ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด แถลงข่าวเปิดใจกับสื่อฯ ครั้งแรก หลังยกเลิกสัญญากับค่ายเพลง ที่สำนักงาน sittra law firm สาทร

ทนายตั้ม กล่าวว่า ตนเป็นทนายความและผู้รับมอบอำนาจให้แถลงข้อเท็จริงต่อสื่อมวลชน แทนน้องพอร์สและคุณพ่อ เกี่ยวกับเรื่องนี้น้องพอร์สเล่าให้ฟังว่า น้องมีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักร้องอาชีพจึงออกตามความฝันไปร้องเพลงเปิดหมวกกับแพนเค้ก น้องสาว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 ก็ร้องมาเรื่อยๆ จากคนดูแค่คนสองคน จนคนเริ่มเยอะขึ้น จนมีแฟนคลับจัดมีตติ้งให้เมื่อประมาณ ก.พ.64

ต่อมาเมื่อเดือน มิ.ย.64 ได้มีคนชักชวนให้ไปออดิชั่นกับค่ายเพลง ต่อมาทางค่ายให้ไปเซ็นสัญญา โดยที่ทางคุณพ่อได้ไปพูดคุยกับทางค่ายซึ่งทางค่ายได้รับปากว่าจะปั้นน้องให้เป็นศิลปินและส่งเสริมดูแลภาพลักษณ์ และทางค่ายรับปากว่าจะหามหาวิทยาลัยที่เหมาะสม คุณพ่อและน้องจึงตัดสินใจให้น้องเซ็นสัญญา ตลอดระยะเวลาหลายเดือนหลังจากทำสัญญากับทางค่าย ทางค่ายก็ไม่เคยให้คนมาเทรนการร้องเพลง หรือการแสดงต่างๆ

ส่วนเรื่องสัญญาของค่ายที่ทำนั้น ทนายตั้ม กล่าวว่า ทางค่ายได้ประโยชน์เพียงฝ่ายเดียว เพราะในสัญญาไม่ได้ระบุไว้เลยว่า น้องจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง โดยสัญญาเหมือนเป็นการปิดโอกาสของน้อง เพราะน้องมีชื่อเสียงด้วยตัวของน้องเอง ไม่ได้เกี่ยวกับทางค่ายเลย

ซึ่งตนได้ทำหนังสือยกเลิกสัญญาตามกฎหมายส่งไปทางค่ายแล้ว และขอย้ำว่า ทางค่ายหมดสิทธิที่จะมาอ้างสัญญาแล้ว พร้อมย้ำว่าถ้าต่อจากนี้ทางค่ายจะออกมาแถลงข่าวอะไรที่ส่งผลกระทบต่อน้องอีก ตนในฐานะทนายความจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด พร้อมฝากถึงน้องๆ ที่มีความฝันในเส้นทางบันเทิงถ้าถูกเอาเปรียบก็สามารถมาเรียกร้องในสิ่งที่ถูกต้องได้ พร้อมย้ำว่าขณะนี้น้องพอร์สเป็นอิสระแล้ว