เมื่อวันที่ 24 ส.ค. เวลา 10.00 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้เดินทางมายื่นคำร้องขอให้ ป.ป.ช.ไต่สวนและมีความเห็น กรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไม่ใช้อำนาจตามที่รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 บัญญัติให้มีอำนาจส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ในประเด็นที่เกี่ยวกับนายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งครบวาระ 8 ปีเมื่อใด แต่ กกต.กลับปัดตกไม่ยอมส่งให้ศาล โดยอ้างว่ามี ส.ส.เข้าชื่อส่งไปแล้ว

ทั้งนี้สืบเนื่องจากสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ยื่นคำร้องให้ กกต.ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตั้งแต่วันที่ 5 ส.ค.65 แต่กลับปล่อยให้เรื่องทิ้งร้างมากว่า 15 วัน จึงจะนัดประชุมพิจารณากันในวันที่ 22 ส.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับวันที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนฯ มายื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในเรื่องดังกล่าว หลังจาก ส.ส.ฝ่ายค้านเข้าชื่อกัน 1 ใน 10 รายชื่อของจำนวน ส.ส.ที่มีอยู่แล้ว มายื่นเรื่องให้ประธานสภาผู้แทนฯ ส่งเรื่องต่อเมื่อวันที่ 17 ส.ค. โดยใช้เวลาตรวจเอกสารเพียง 3-5 วันเท่านั้น

กรณีดังกล่าว หาก กกต.ทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนสำนักงานสภาผู้แทนฯ คำร้องของสมาคมฯน่าจะถึงศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 10 ส.ค. ที่ผ่านมา ไปแล้ว ซึ่งจะมีระยะเวลาให้ศาลรัฐธรรมนูญเตรียมการจัดทำคำสั่งหรือคำวินิจฉัยได้เร็วขึ้น อาจไม่จำเป็นต้องมีม็อบจัดตั้งเกิดขึ้นมากมายกว่า 15 กลุ่ม สร้างความเดือดร้อนรำคาญของประชาชนและผิดกฎหมายเยี่ยงนี้ เพราะเราอาจจะรู้คำตอบแล้วก็ได้ว่านายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งครบวาระ 8 ปีเมื่อใด จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ด้วย แต่เป็นเพราะ กกต.ทำงานเยี่ยงนี้ เราจึงเห็นปรากฏการณ์ความวุ่นวายของบ้านเมืองเช่นนี้

ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยจึงไม่อาจปล่อยให้องค์กรเหล่านี้ลอยตัวอยู่เหนือกฎหมายไปได้ จึงได้นำความพร้อมพยานหลักฐานมาร้องให้ ป.ป.ช.ได้ดำเนินการไต่สวนตามอำนาจหน้าที่ว่าพฤติการณ์ของ กกต.ทั้ง 7 นาย เข้าข่ายจงใจที่จะปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตําแหน่งหรือหน้าที่หรือกระทําการอันเป็นความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมตามประมวลกฎหมายอาญาหรือตามกฎหมายอื่นหรือไม่ อย่างไรรวมทั้งเป็นการฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่ด้วย หากพบว่าเป็นการละเว้นปฏิบัติหน้าที่ หรือฝ่าฝืนให้ดำเนินการเอาผิดขั้นสูงสุด เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป