เมื่อเวลา 10.50 น. วันที่ 5 ก.ย. ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ตลิ่งชัน สืบเนื่องจากเมื่อช่วงเช้าวันนี้ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวนคดีพิเศษดีเอสไอ ได้นำตัว นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร กับพวกรวม 4 คน ส่งพนักงานอัยการที่สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อนำตัวทั้งหมดยื่นฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ตามที่พนักงานสอบสวนคดีพิเศษดีเอสไอได้แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม ในความผิดฐาน ร่วมกันโดยมีอาวุธข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดไม่กระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง ตามที่มีการรายงานข่าวไปอย่างต่อเนื่องแล้วนั้น

ความคืบหน้าล่าสุด คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้นำตัวนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร กับพวกรวม 4 คน มายังศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร เพื่อส่งตัวให้พนักงานอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ ยื่นฟ้องเป็นจำเลยคดีต่อศาลตามขั้นตอนกฎหมาย

นายชัยวัฒน์ ยืนยันว่า ไม่มีความกังวลใจ ถึงแม้ว่าในช่วงแรกจะน้อยใจ แต่เมื่อเป็นคดี แล้วก็พบว่าการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมนั้นดีกว่า เพื่อที่ในทุกๆปีจะได้ไม่มีการมาพูดเป็นเทศกาลเกี่ยวกับบิลลี่อีก เพื่อความชัดเจนสำหรับสังคมด้วย อีกทั้งเชื่อในความบริสุทธิ์ของตนเองและพวกมาตลอด อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ได้เตรียมเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับการยื่นประกันตัว ส่วนหลักทรัพย์ยังไม่ทราบ จึงขอให้ศาลเมตตาให้ตนและพวกได้รับการประกันตัว

นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาไม่เคยทราบรายละเอียดของสำนวนพนักงานสอบสวนดีเอสไอเลยว่าเป็นอย่างไร ซึ่งทุกครั้งที่พนักงานสอบสวนเรียกไปแจ้งข้อกล่าวหา เราก็ได้มีการปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาและแจ้งว่าขอให้การในชั้นศาล จึงไม่ทราบว่าคณะพนักงานสอบสวนดีเอสไอได้กล่าวหาอย่างไร หรือมีพยานหลักฐานอะไรบ้าง เราจึงต้องเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวเอง พร้อมระบุว่า อยากให้มีการฟ้องดีกว่า เพราะเบื่อและเหนื่อยกับทุกปีสำหรับงานเทศกาลประจำปี

“อยากให้ไปติดตามเรื่องการเผาบ้านปู่คออี้มากกว่า ว่ามีการเผาจริงหรือไม่ เกิดขึ้นอย่างไร ใครเป็นคนเผา เรื่องเริ่มจะชัดขึ้นเรื่อยๆ เพราะเมื่อก่อนเขาฟ้องกระทรวงและกรม ไม่ได้ฟ้องตน แต่พอตอนนี้เราเดือดร้อน พอเรามาเปิดเอกสารดู สำนวนที่เขาไปให้การต่อศาล ตนอยากให้ไปมองถึงกลุ่มชาติพันธุ์ เพราะคนกลุ่มนี้เป็นเหยื่อ โดยการให้คนเหล่านี้มาปั๊มลายนิ้วมือรับรองว่าให้การแบบนี้ แต่วันนี้กลับให้ข้อความเท็จหมด ยกตัวอย่างเช่นปู้คออี้กับนอแอะ เป็นพ่อลูกกัน อยู่บ้านหลังเดียวกันแต่แยกฟ้องคนละหลัง หลังละเกือบ 2 ล้านบาท แบบนี้เท็จหรือไม่พวกเขาให้การกันเองเลย ทั้งนี้ ยังมีการอ้างว่าตนไปยืนเผาบ้านปู้คออี้ อยู่ในบ้านหลังดังกล่าวแล้วยืนเผา ทั้งๆที่ตนไม่ได้ไป ไม่เคยไป ไม่รู้เรื่อง ดังนั้น พอถึงขั้นที่ศาลมีคำสั่งให้ชดเชย ชดใช้ ตนเลยอยากให้สังคมกับสื่อมาตามเรื่องนี้ดีกว่า” นายชัยวัฒน์ กล่าว

นายชัยวัฒน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า วันนี้ไม่มีหลักฐานอะไรทั้งนั้นที่จะมาหักล้างคดีฆาตกรรมบิลลี่ เพราะตนและพวกไม่ได้ทำตามที่มีข้อกล่าวหา เนื่องจากเคยให้การต่อศาลแล้วว่า ตนได้ไปส่งบิลลี่กับเจ้าหน้าที่ ปล่อยตัวแล้ว จากนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว ถ้าจะมีหลักฐานก็คงต้องมี “บิลลี่” ถึงจะบอกได้ว่า มีการปล่อยตัวบิลลี่ หรือไม่ ส่วนหลักฐานเรื่องดีเอ็นเอที่ไปสัมพันธ์กับของแม่บิลลี่ ที่ทางดีเอสไอไปตรวจพบ ก็คงต้องไปดูกันอีกที เเต่ไม่ได้กังวลในส่วนนี้

ทั้งนี้ เมื่อถามว่า ถ้าบิลลี่ผิดจริงในข้อหาครอบครองน้ำผึ้งป่า ทำไมจึงปล่อยตัวบิลลี่ไปในวันนั้น นายชัยวัฒน์ อธิบายว่า เรื่องนี้ไม่เป็นไร เดี๋ยวเขาคงฟ้องมาตรา 157 และภาวนาขอให้ศาลเมตตา.