ยังคงเป็นครอบครัวที่หลายคนหลงรักและมอบกำลังใจให้ไม่ขาดสายสำหรับครอบครัวของสาว ไอซ์ ณพัชรินทร์ และ คุณแม่เอ๋ ประภาศรี ลูกสาวและภรรยาของตลกชื่อดังผู้ล่วงลับ น้าค่อม ชวนชื่น ที่วันนี้จะมาเปิดใจทุกประเด็นดราม่าผ่านรายการคุยแซ่บ show แบบจัดเต็ม

แม่เอ๋ เผยว่า “สภาพจิตใจตอนนี้ดีขึ้น ดีขึ้นดีกว่าในช่วงปีแรก ยังร้องไห้เป็นระยะๆตอนพูดถึงแก (น้าค่อม) ลูกเครียด ลูกก็ห่วงเรา ถ้าเรายิ่งทำให้ลูกเห็นลูกก็จะยิ่งแย่ ลูกมาถามแม่โอเคไหม เราก็บอกโอเคๆ ที่เราโอเคหรือไม่โอเค แต่เราโอเคตลอด แต่เวลาลูกไปก็เข้าโหมดใจเฉา ตลอดปีกว่าไม่ออกสื่อเลยไม่อยากสัมภาษณ์เพราะเราจะออกไปพูดอะไร ไปจะร้องไห้แล้วได้อะไร มีคนบอกว่าต้องมูฟออนได้แล้ว เห้ย…ลองเป็นคุณก่อน คุณลองมาเป็นตัวฉัน ผัวฉันไม่ได้เป็นมะเร็งตาย ไม่ได้เป็นไข้ตาย ไม่ได้เป็นอะไรตาย ผัวฉันติดโควิดตาย ติดโควิดจากที่คนที่เอามาติดโควิดกับผัวฉัน สเต็ปของพี่ค่อมคือ 1, 5 และ 10 แต่คนอื่นที่เป็นมะเร็ง เป็นอะไร นับเวลาถอยหลัง มีเวลาให้ทำใจ คือคำว่ากรีดร้องและร้องคว่ำครวญ ตั้งแต่โรงพยาบาลโทรฯมา แล้วบอกว่าผัวติดโควิด ดิฉันรู้เลยว่ามันเป็นการร้องไห้คร่ำครวญ ถ้าวันนั้นที่เราเดินไปส่งแกขึ้นรถ แล้วไหนๆ เราจะต้องติดแล้ว ดิฉันจะกอดแก หอมแก กอดกันให้แน่นๆ กว่านั้นไม่คิดว่าแกจะไปแล้วไม่กลับ จะกอดแกให้แน่นๆ ตอนอยู่โรงพยาบาล เราก็โทรฯคุย ถามแกตลอด”

“หมอโทรฯมาบอกว่าพี่ค่อมติดโควิด เหมือนใครมากระชากใจ คำว่าร้องไห้คร่ำครวญ โหยหวน รู้เลยว่ามันเป็นยังไง ตัวเองต้องแอบไปร้องไห้หลังบ้านไม่ให้พี่ค่อมได้ยิน เราไม่รู้จะทำยังไง เราทำใจไม่ได้ที่จะไปบอกแกแบบนั้นมันแย่ ซึ่งตัวแกเอง ด้วยอาการที่เรามองเห็น เหมือนแกรู้ตัวเอง เหมือนแบบโดนแน่ๆ เพราะตัวแกอยู่ใกล้ชิดกับคนที่เป็น เราก็เดินไปบอกแก เธอผลทุกคนออกมาแล้วนะ ทุกคนไม่มี ฉันด้วย แต่ผลของเธอมันยังไม่ชัดเจน หมอขอตรวจซ้ำอีกรอบ แล้วหมอแนะนำว่าให้เธอแยกอยู่บนห้องได้ไหม เขาก็ลุกขึ้นไปอยู่บนห้อง ตอนนั้นคิดว่าเราเป็นแทนดีกว่า เราไม่ได้มีโรคประจำตัวอะไร มันเป็นภาพที่แย่มาก ที่แกเดินขึ้นไป เราก็ต้องหมั่นไปดูแล ถามจะกินอะไร พยายามทำเสียงให้ปกติๆ จนดิฉันติด ทีแรกไม่กล้าบอกแกว่าดิฉันติดโควิด แต่แกกังวัลตลอด ตัดสินใจว่าบอกแก เธอ ฉันติดโควิดนะพอดิฉันบอกว่าติดแล้ว ตอนที่บอกตัวแกเองย้ายโรงพยาบาลแล้ว ไม่เป็นไร ใครติดไม่ติดก็เรื่องของเขา ฉันติดแล้วได้อยู่โรงพยาบาลเดียวกับเธอนะ เธออยู่ชั้น 11 ฉันอยู่ชั้น 16 นะ หมอบอกว่าให้เธอสูดออกซิเจนเข้าปอดให้เยอะๆ ให้ปอดฟู ถ้าปอดฟูเมื่อไหร่เธอได้ถอดเครื่องช่วยหายใจเมื่อไหร่ เธอกับฉันจะได้ย้ายมาอยู่ห้องเดียวกัน ตอนที่บอกว่าติดโควิดเขาไม่พูดอะไรเลย เขาบอก อือ เหมือนคนจุกอก แล้ว 3 วันแกก็ทรุด แกก็ต้องย้ายโรงพยาบาลไปอีก แล้วเราจะมารักษาอยู่โรงพยาบาลนี้เพื่ออะไร อุตส่าห์ตามผัวมารักษาอยู่ที่นี่แล้วทำไมผัวยังหนีไปอีก”

แม่เอ๋ เล่าต่อว่า “ตอนรู้ว่าพ่อเสียจะกระโดดหน้าต่างโรงพยาบาล ตอนนั้นเราเหมือนช็อก จะร้องไห้ยังไงดี จะทำยังไงดี คร่ำครวญ ทำไมๆ ทำไมต้องมาทิ้งกัน ทำไมต้องมาจากกัน ทำไม แล้วตอนนั้นไม่อยากอยู่แล้ว ทำไมๆ อุตส่าห์ตามมาหาผัว ผัวก็ยังหนีไปอีก อยากกระโดด ไม่อยากอยู่แล้ว แต่ตอนนั้นโชคดีประตูเขาปิดแล้วมันก็หนาเกินไป เครียดจนทุกอย่างในร่างกายดิ่งหมด ความดัน เกล็ดเลือดอะไรต่ำหมด วันสองวันแรกคือทุกอย่างดิ่งหมด ดิ่งจนน้องพยาบาลเดินเข้ามาบอกว่า อยากคุยอะไรกับหนูไหม อยากพูดอะไรกับหนูไหม คือเราอยากร้องไห้ เราอยากกรี๊ดออกมาให้มันดังๆ แต่เราได้แค่ส่ายหน้าบอกว่าไม่เป็นไร ตอนแรกเรามีความเจ็บช้ำน้ำใจ ทำไมเราผิดอะไร เราเป็นผู้สูญเสีย ทำไมทุกคนต้องมาว่าเรา ถามว่าวันนี้โอเคไหม ยังไม่โอเค ยังเหลือประมาณ 70-80 เปอร์เซ็นต์ก็ว่าได้ บางทีเราอยู่บ้าน เรามีจุดของเรา ตรงโซฟาก็เป็นที่ของพี่ค่อมเขา ถ้าวันไหนเขาไม่ทำงาน เขาก็จะดูทีวีทั้งวัน พอไม่มีแกเราก็อยู่ตรงนั้น ดูที่แกไม่ได้ เหมือนเราเดินออกประตูเรามีรองเท้า 2 คู่ ของเราและของแก พอวันหนึ่งออกจากบ้านมา เหลือของเราคู่เดียว เวลากินข้าว ตักใส่ 2 จาน มันเหลือจานเราคนเดียว”

“ที่แม่มูฟออนไม่ได้ บางคนเคยบอกว่าให้นึกเรื่องที่ไม่ดีของแก แล้วเราจะได้มูฟออนได้ แต่เชื่อไหม ดิฉันอยู่กับแกมา 36 ปี ดิฉันยังหาความไม่ดีของเขาไม่เจอเลย เขาเป็นคนที่รักลูกและรักเมียมาก เมียต้องอันดับ 1 ลูกอันดับ 2 เรื่องที่เขาทำคือเรื่องซ่องเงิน แต่มันไม่ใช่ปัจจัย เขาซ่อนเงินแอบไปออกรถให้ลูก ซ่อนเงินเพื่อไปเปลี่ยนแม็กให้ตัวเอง ซ่อนเงินแล้วขับรถดิฉันหายไปครึ่งวันแล้วขับกลับมาพร้อมป้ายแดง เปลี่ยนรถให้ตัวเอง เปลี่ยนแม็กให้ตัวเอง มอเตอร์ไซค์ให้ลูกคันนั้นคันนี้ เช้ากองนัด 10 โมง 7 โมงออกจากบ้าน ถ้าออกเลิก 5 โมง 5 โมงครึ่งถึงบ้าน ผัวดิฉันไม่เคยหายไประหว่างทาง และเขาไม่เคยว่า นินทา หรือให้ร้าย หรือเอาเรื่องคนนั้นมาพูดตรงนี้ เอาเรื่องคนนี้มาพูดตรงนั้น”

ไอซ์ เผยว่า “ตอนแรกแม่ร้องไห้ทุกวัน ไม่อยากเห็นแม่เลย พอเวลากลับไปหาแม่ พอเวลาเห็นแม่ ขอโทษนะคะ คุณแม่จะโทรมมาก ดูหง่อม ดูแก่กว่าเดิม คือเขาอยู่กับที่ อยู่ที่โต๊ะกินข้าวที่นั่งกับพ่อที่เดิม คือเขาเป็นแม่บ้าน เขาไม่ได้มีกิจกรรมที่จะต้องออกไปไหน ไปทำอะไรเหมือนเราที่ต้องไปเจอคน เขาก็อยู่กับบ้าน ความดิ่ง ความจม แน่นอนมันมาอยู่แล้ว 100% แต่ว่าตัวเขาก็ยังดีค่อยๆพยายามดูแลตัวเอง เรื่องย้ายไปอเมริกาถาวรก็มีแพลน คือเขาไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว เขาไม่อยากเห็นหรือได้ยินอะไรที่เกี่ยวกับคุณพ่อ บางทีเราอยู่นานๆ ก็มีจุดอิ่มตัว เราก็กลับไปคิดกันกับแบงค์ว่าจะไปไหนกันดี เรารู้สึกว่าประเทศที่เราไปเรารู้สึกคุ้นเคย เราไปก็มีคนนั้นคนนี้ดูแลซัพพอร์ตให้คำแนะนำเราในการใช้ชีวิต ก็คิดว่าน่าจะถึงเวลาแล้วแหละที่จะต้องพาแม่ไปเปลี่ยนที่อยู่บ้าง ไปเปลี่ยนมุมมองใหม่ๆ บ้าง”

“คิดว่าจะเอาคุณแม่ไปลองอยู่ก่อน สัก 4-5-6 เดือนว่ากันไป หลังจากพ่อเสีย หนูไปประเทศไหน หนูเจอคนไทยเขาเดินมาร้องไห้กับหนูตลอดเลย ที่คนบอกให้มูฟออนคือคุณพ่อไม่ได้ผ่านการรักษา 1-2-3-4 ที่จะได้มีเวลาทำใจ เวลาได้พูด ได้คุย ที่แม่หมายถึงพ่อเขาติดโควิดปุ๊บวันนี้ได้คุย อีกวันไม่ได้คุยแล้วก็ยาวเลย พ่อห่วงแม่เรื่องโควิด เขาไม่อยากให้แม่เป็นอะไรแหละ เขาเป็นคนที่รักภรรยา ทุกคนรู้กัน แล้วพอแม่ติด เขาก็ดิ่ง แล้วพอเขารู้จากแม่ เขาก็โทรฯมาหาไอซ์ทันที ที่ทุกคนบอกว่าไอซ์ใจดำว่าไอซ์อย่างนู้นอย่างนี้ คือเราได้รับสารมาจากพ่อเราแล้วก่อนที่เราเลือกที่จะใจดำ หรือเราเลือกที่จะทำอะไรก็แล้วแต่ เราไม่ได้อยากเป็นไอ้ก้าวร้าวนะคะ แต่เราได้รับสารมาแบบนี้จากพ่อ แล้วหนูคิดว่าทำให้เขาแบบนี้มันผิดตรงไหน สิ่งที่แม่เจ็บช้ำน้ำใจที่สุดเขาจะว่า ว่าเราใจดำ ใจแคบ ไม่มีใครเอาโควิดมาติดคนที่ตัวเองรักหรอก เรื่องบางเรื่องเราอยากออกมาพูด คนบอกตลอดว่าทำไมไม่ออกมาพูด ทำไมไม่ออกมาอธิบาย เราพูดไปพ่อเราไม่ได้ฟื้น ครอบครัวเราทุกคนที่ไม่ได้ออกสื่อ ใครออกมาพูดก่อนคนนั้นได้เปรียบอยู่แล้ว เพราะว่าเขาจะมองจากมุมนี้แล้วหันมาด่าเรา เราไม่อยากให้ค่า เรารู้สึกว่าอะไรที่ไม่ได้ทำให้ชีวิตเราดีขึ้น แรกๆ รู้สึกแย่มาก ร้องไห้ตลอด ร้องไห้เหมือนเราจะห้ามใจตัวเองไม่ไหว เพราะเราก็เป็นคนอารมณ์ร้อยเหมือนกัน จนแฟนเราห้าม ชื่อฉันๆ จนวันนี้มันปีกว่าแล้ว คนเริ่มมาเข้าใจเรามากขึ้น เอาง่ายๆ เลย พี่ๆ ในวงการเข้าใจเรามากขึ้น”

“ของหนูเคยออกไปทำงานแล้วเจอเพื่อนนักแสดงด้วยกัน เฮ้ยมึงกูให้กำลังใจนะ พ่อเขาให้ยาอะไรผิดเหรอ พี่เอ๊ะป่ะ หนูโคตรเอ๊ะเลย เราถามว่ารู้มาจากใคร เขาก็บอกว่ารู้มาจากพี่คนนี้ โอ๊ยย..กูไหว้อยู่ตั้งนาน อ่อเหรออะไรอย่างนี้คือเขาเป็นคนดี เป็นคนน่ารัก แต่ทำไมพี่คนที่เป็นต้นขั้วที่รู้แล้วมาบอกเพื่อนเรา ทำไมไม่ถามเรา เราก็รู้จักกัน เราก็พูดคุยกัน เราก็เจอกันอะไรอย่างนี้ เราฟังแล้วเอ๊ะเลย แสดงว่าหลังบ้าน หรือที่อื่นๆ เขาต้องไปพูดต่อๆ กัน แบบบิดการรักษา บิดนู่นบิดนี่กันเยอะมากเลย ไอซ์อธิบาย พ่อไอซ์แบบนี้นะ คุณพ่อรักษาทุกขั้นตอนแล้ว ให้ยาจนตับแตก ตอนที่คุณพ่อเสีย คุณหมอบอกว่าปลายนิ้วม่วงแล้ว แต่บอดี้เขาคือปกติเลย ไม่มีอะไรน่ากลัว วันที่คุณพ่อเสีย เชื้อโควิดก็ยังอยู่ มันไม่หาย เรารักษาทุกขั้นตอนอยู่แล้ว พ่อเราคนหนึ่ง เราไม่มีทางปล่อย อะไรที่ทำได้เราต้องสู้ให้สุดอยู่แล้ว แล้วการที่มาทักเราแบบนี้ เราเอ๊ะเลย มีอะไรที่เราไม่รู้ เราพลาดตรงไหนไป ทำไมคนที่รู้ กับเราที่คุยกับหมอ หรือหมอไปคุยกับใครต่อหรือเปล่า ไอซ์เชื่อว่าคุณหมอโอเค แต่ไอซ์ก็คิดว่า ณ ตอนนั้นมันเป็นตอนใหม่ๆ สารทุกคนแหละ ที่บอกว่าฉันรู้ๆ แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่”

ไอซ์ เล่าต่ออีกว่า “ตอนคุณพ่อเสีย เราทำเหมือนครบรอบ 100 วัน เราก็ทำเสื้อคุณพ่อออกมาขาย มันก็มีดราม่า เราทำขายแค่ 1,000 ตัว ก็มีดราม่าว่า หากินกับคนตาย เกาะพ่ออีกแล้ว เอาเงินไปใช้สุรุยสุร่ายแน่ๆ ต้องหาเงินกันแล้ว หนูก็เลยคิดว่าเนี่ยคือคนที่เขาไม่ได้รู้จักเรา เพราะฉะนั้นพี่ถามว่าทำไมหนูไม่ออกไปแก้ตัว ไม่ออกไปพูด เรารู้สึกว่าเราไปคุยกับใครก็ไม่รู้ เหมือนเราคุยกับกำแพง เราพูดไปเรื่อยๆ เขาก็ไม่เข้าใจเรา ที่เราทำเสื้อ แล้วคนมาด่าเรา เราอยากบอกว่าฉันเป็นลูก แต่คนที่ไม่ได้เป็นลูกทำกันเละเทะไปหมด ไม่เอาเวลาไปด่าเขา แล้วพอหนูทำ หนูก็ได้เงินมาก้อนหนึ่ง หนูก็เอาเงินไปบริจาคให้กับโรงพยาบาลที่รักษาพ่อ เรื่องพบจิตแพทย์ ตัวไอซ์หลังจากพ่อเสียประมาณอาทิตย์หนึ่ง หนูจะไม่นอน 24 ชม. ประมาณครึ่งเดือน ตัวเองคิดเองแล้วว่ามันเกิดจากอาการช็อกว่าพ่อเสียกะทันหัน เรารู้เรื่องมาทั้งหมด ทุกครั้งที่เรานอนในหัวเราก็จะทวนเรื่องที่เราได้รับฟังจากคุณหมอ มันหนักจนเราไปทำงานก็ไม่ได้นอน พูดไม่รู้เรื่อง เราอึ้งบ้าง เพราะว่าหัวเรามันไม่ไป เราก็เลยเลือกที่จะไปพบจิตแพทย์ แล้วเขาก็ให้ยาเรามารักษา แต่ยาที่เขาให้มา เราไม่ได้ทานเลย เราแค่อยากรู้ว่าเราเป็นใช่ไหม แล้วสุดท้ายก็จริงว่าเราเป็นอย่างนั้น พอเรารู้เราก็กลับมารักษาตัวเอง กลับมาบำบัดตัวเราเอง มันต้องผ่านไปให้ได้ มันต้องปลดมันต้องวางได้แล้ว”.