วันที่ 17 ต.ค. นายไตรรงค์ ตันทสุข นักกฎหมาย ในฐานะตัวแทนภาคประชาชน เปิดเผยว่า เมื่อต้นเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ตนได้เดินทางไปที่สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง เพื่อแจ้งความกล่าวโทษเป็นคดีอาญา ให้หาตัวผู้กระทำความผิดโดยมีผู้ต้องสงสัย ได้แก่ น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค, นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา อดีตกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สำนักข่าวที่ลงข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ทุกสำนัก และเจ้าหน้าที่ กสทช. ในความผิดฐานเปิดเผยความลับทางราชการและ บิดเบือนข้อความจริงหรือนำความเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ โดยบันทึกเป็นคดีอาญาเลขที่ 777/2565 ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากการที่มีการให้สัมภาษณ์ของ น.ส.สารี อ๋องสมหวัง และนายแพทย์ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ว่าได้ทราบและรู้เห็นมาตรการเฉพาะภายหลังการควบรวมกิจการทรูและดีแทค หรือ 14 เงื่อนไขก่อนที่บอร์ด กสทช.จะพิจารณาและเปิดเผย ซึ่งการกระทำทั้งปวงน่าจะเข้าข่ายเป็นความผิดตามกฎหมาย จึงนำความไปร้องทุกข์กล่าวโทษเพื่อมอบคดีให้พนักงานสอบสวนสืบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษตามกฎหมายจนกว่าคดีจะถึงที่สุดต่อไป

และเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาหลังจากที่ กสทช.ประกาศเลื่อนการลงมติการควบรวมกิจการทรู-ดีแทคออกไปเป็นวันที่ 20 ต.ค.65 เพื่อรอผลการศึกษาจากที่ปรึกษาต่างประเทศที่จะมาถึงในวันที่ 14 ต.ค.65 แต่กลับปรากฏว่ามีการเปิดเผยข้อมูลผลการศึกษาจากที่ปรึกษาต่างประเทศผ่านทางเฟซบุ๊กของ น.ส.สารี ในเวลาต่อมา และมีการนำไปเผยแพร่ต่อตามสื่อต่าง ๆ ซึ่งไม่รู้ว่าได้เอกสารมาอย่างไร และเป็นเอกสารของจริงหรือไม่ จะต้องมีการตรวจสอบ โดยต่อมารักษาการเลขาธิการ กสทช. ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า สำนักงาน กสทช. ไม่ทราบว่า สภาองค์กรของผู้บริโภคได้รับเอกสารมาจากไหน นายไตรรงค์ในฐานะที่เป็นนักกฎหมายซึ่งติดตามข้อมูลข่าวสารเรื่องการควบรวมกิจการทรู-ดีแทค จึงมีความสงสัยติดใจในกระบวนการทำงานด้านการสื่อสารประชาสัมพันธ์ของ กสทช. ซึ่งทราบเบื้องต้นว่า ดร.พิรงรอง รามสูต หนึ่งในบอร์ด กสทช. เป็นผู้รับผิดชอบด้านนี้

“ข้อมูลดังกล่าวทั้งเรื่อง 14 เงื่อนไข และผลการศึกษาจากที่ปรึกษาต่างประเทศ SCF Associates Ltd. ถือเป็นความลับทางราชการ และยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของบอร์ด กสทช. และยังอยู่ในอำนาจหน้าที่ของบอร์ด กสทช. ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญามีหน้าที่ควบคุมกำกับดูแลการเก็บรักษาข้อมูลความลับเหล่านี้ไว้ให้มั่นคงจากกระทำใดใดให้ผู้อื่นที่ไม่เกี่ยวข้องสามารถล่วงรู้ความลับนี้ก่อนวันได้กำหนดเปิดเผยข้อมูลความลับไม่ได้ การกระทำของ น.ส.สารี และ นพ.ประวิทย์ รวมถึงผู้เกี่ยวข้องหรือบุคคลผู้มีหน้าที่ในการเก็บรักษาหรือเข้าถึงความลับนี้ จึงน่าจะมีส่วนในการรู้เห็นหรือร่วมกัน หรือสนับสนุนกันในการนำข้อมูลความลับของทางราชการมาเปิดเผย เพื่อสนับสนุนแนวคิดหรือน่าจะชี้นำในการคัดค้านมีให้มีการควบรวมทรูดีแทค” นายไตรรงค์ กล่าว และคาดว่าใน 1-2 วันนี้จะยื่นเอกสารเพิ่มเติมเพื่อกล่าวโทษบุคคลทั้งสองต่อไป จากกรณีที่มีการเผยแพร่ผลการศึกษาของที่ปรึกษาต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นความผิดฐานเปิดเผยความลับทางราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 86, 164 และบิดเบือนข้อความจริงหรือนำความเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14

นายไตรรงค์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่าบุคคลทั้ง 2 ล่วงรู้ข้อมูลลับทางราชการมาจากที่ใด แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ มาโดยตลอดระหว่างการพิจารณาดีลควบรวมทรูดีแทคของ กสทช. ทั้งที่ทั้ง 2 ท่านไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการพิจารณา ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับการจัดทำผลการศึกษา กลับล่วงรู้ข้อมูลความลับในเอกสารลับของทางราชการ และนำข้อมูลมาเปิดเผยต่อสาธารณะ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ก็ไม่รู้ว่ามีข้อเท็จจริงมากน้อยแค่ไหน หรือถูกบิดเบือนในลักษณะใดหรือไม่อีกด้วย