นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รมช.คมนาคม ในฐานะปฏิบัติหน้าที่แทน รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า ได้รายงานสรุปกรณีราคาตั๋วโดยสารเครื่องบินปรับตัวสูงขึ้น พร้อมทั้งแนวทางในการแก้ไขต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และได้รับบัญชาให้เร่งดำเนินการทั้งในส่วนที่กระทรวงคมนาคม ได้เริ่มดำเนินการไปแล้วและแผนดำเนินการต่างๆ ตามที่เสนอ เพื่อลดปัญหาจากช่องว่างระหว่างปริมาณความต้องการเดินทาง กับความสามารถในการรองรับของระบบการบินที่แตกต่างกันอย่างมากในปัจจุบัน จนเป็นสาเหตุของราคาตั๋วโดยสารที่เพิ่มสูงขึ้น เกิดผลกระทบกับประชาชน และการท่องเที่ยวของประเทศ 

ทั้งนี้ จากรายงานสถานการณ์ค่าโดยสารเส้นทางภายในประเทศของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ประจำเดือน มี.ค. 66 ระบุว่า อัตราค่าโดยสาร (ต่อเที่ยว) ในเส้นทางบินกรุงเทพฯ-ภูเก็ต เป็นเส้นทางที่ได้รับการร้องเรียนว่าค่าโดยสารราคาแพงมากที่สุด พบว่า อัตราค่าโดยสารเฉลี่ย ซึ่งต่ำกว่าราคา 2,500 บาท คิดเป็น 82.5% ของตั๋วโดยสารทั้งหมด ในขณะที่ราคาสูงกว่า 2,500 บาท คิดเป็น 17.5% โดยราคาบัตรโดยสารจะปรับตัวสูงขึ้นในช่วงเทศกาล ผู้โดยสารจะได้ราคาต่ำที่สุด เมื่อจองตั๋วล่วงหน้านานๆ และจะค่อยๆ แพงขึ้นจนถึงราคาสูงสุด ไม่เกินเพดานที่กำหนด เมื่อซื้อตั๋วกระชั้นชิดกับวันที่ต้องการเดินทาง 

ราคาค่าโดยสารเครื่องบินในช่วงเทศกาล ซึ่งปรับตัวสูงขึ้นโดยเฉพาะในกรณีที่จอง หรือซื้อตั๋วในระยะเวลากระชั้นชิด แสดงให้เห็นถึงลักษณะตลาดที่เป็นของผู้ขาย เป็นผลจากการที่ปริมาณความต้องการเดินทางภายในประเทศปัจจุบันมีสูงขึ้นมาก มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าออกประเทศไทยมากกว่า 1.4 แสนคนต่อวัน และเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวทั่วประเทศ รวมกับการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศของคนไทยเอง ในขณะที่ความสามารถของระบบการบิน ซึ่งเพิ่งฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด-19 ยังไม่กลับสู่สภาวะปกติ ทำให้ไม่สามารถเพิ่มเที่ยวบิน เพื่อรองรับปริมาณความต้องการได้เพียงพอ ทำให้ตั๋วโดยสารในบางช่วงเวลา เป็นที่ต้องการมาก แม้จะมีราคาสูงมากก็ตาม 

นายอธิรัฐ กล่าวต่อว่า กพท. ได้สรุปการวิเคราะห์สาเหตุ และปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อขีดความสามารถในการรองรับจนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ตั๋วโดยสารเครื่องบินมีราคาสูงในปัจจุบัน ประกอบด้วยปัจจัยหลักต่างๆ พร้อมทั้งได้เสนอแนวทางการแก้ไข ดังนี้ 1. บริการภาคพื้น (Ground Handling) ที่สนามบินสุวรรณภูมิไม่เพียงพอ (มีเพียง 50%) ส่งผลให้สายการบินไม่สามารถเข้ามาทำการบินได้ ทำให้จำนวนเที่ยวบินมีไม่พอกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นจำนวนมาก 

แนวทางแก้ไข เพิ่มผู้ให้บริการภาคพื้น (Ground Handling) ให้เพียงพอ โดยการพิจารณาเสนอให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่กำหนดให้มีผู้ประกอบการเพียง 2 ราย หรือการแก้ไขมติฯ ให้สามารถเพิ่มผู้ประกอบการให้มีมากกว่า 2 รายได้ โดยให้ ทอท. อนุญาตให้สายการบินที่มีศักยภาพ (มีเที่ยวบินจำนวนมากพอ) รับผิดชอบการบริการภาคพื้นด้วยตนเอง (Self Handling) ได้ ในช่วงที่ยังมีผู้ให้บริการไม่เพียงพอ และเร่งจัดหาผู้ประกอบการมาดำเนินการชั่วคราวอย่างเร่งด่วน 

2. การบริหารจัดการตารางเวลาการบิน (Slot Allocation) ซึ่งแม้จะเป็นไปตามกติกาสากล แต่การที่สายการบินที่ได้รับการจัดสรรตารางเวลาการบิน ทำการยกเลิกเที่ยวบินบางส่วนภายในเวลาที่กำหนด ซึ่งสายการบินมีสิทธิกระทำได้ แต่ส่งผลทำให้ไม่มีเที่ยวบินรองรับเพียงพอตารางเวลาที่ถูกจัดสรรไว้แล้ว ทำให้สายการบินอื่นไม่สามารถจองเข้ามาทำการบินได้ในเวลานั้นๆ เมื่อยกเลิกจึงเหลือเที่ยวบินน้อย แนวทางแก้ไข ควรเพิ่มมาตรการเพื่อสร้างแรงจูงใจเชิงบวก (Positive Incentive Measure) ให้กับสายการบินที่คืนตารางเวลาทันทีที่ทราบว่าจะไม่ปฏิบัติการบินตามที่ได้รับการจัดสรร โดยไม่ต้องรอแจ้งในวันสุดท้ายที่กำหนดไว้ในกติกา หรือกระชั้นเกินไป เพื่อให้เพิ่มเที่ยวบินเข้ามาแทนที่ได้ทัน เนื่องจากสายการบินที่จะเข้ามาทำการบินในช่วงเวลาที่ว่างนั้น ต้องใช้เวลาในการเตรียมความพร้อมเช่นกัน 

3. สายการบินมีอากาศยานไม่เพียงพอสำหรับการเพิ่มเที่ยวบินให้เพียงพอกับความต้องการ แนวทางแก้ไข เร่งกระบวนการอนุมัติ/อนุญาตให้สายการบินสามารถจัดหาอากาศยานเพิ่มเติมให้รวดเร็วขึ้น และผ่อนปรนกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สายการบินจัดหาอากาศยานมาใช้เพิ่มเติมได้อย่างรวดเร็ว 4. ความคล่องตัวในการซ่อมบำรุงอากาศยาน การต้องนำอากาศยานไปซ่อมต่างประเทศ ทำให้อากาศยานหายไปจากระบบไม่เพียงพอสำหรับการใช้งาน 

แนวทางแก้ไข ระยะยาว ปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมการลงทุนจัดตั้งศูนย์ซ่อมที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศ ส่วนระยะสั้น พิจารณาให้สายการบินของไทย สามารถใช้ศูนย์ซ่อมของการบินไทยซึ่งมีศักยภาพสูงได้ โดยการผ่อนปรนเงื่อนไขต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง 

5. ความต้องการเดินทางในเส้นทางบินที่มีสายการบินน้อยราย หรือรายเดียวทำการบิน เนื่องจากตลาดของสนามบินบางแห่ง ยังไม่เป็นที่นิยม มีความต้องการเดินทางต่ำ ทำให้สายการบินที่ทำการบินต้องกำหนดอัตราตั๋วโดยสารไว้แพง เพื่อให้คุ้มค่าต้นทุน ยิ่งตั๋วแพงจำนวนผู้โดยสารก็ยิ่งน้อยลงไปตามกลไกตลาด 

แนวทางแก้ไข ศึกษาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ที่ไทยจะใช้นโยบายอุดหนุน (Subsidy Policy) สำหรับสายการบินที่ปฏิบัติการบินไปยังสนามบินที่ไม่ใช่ตลาดหลัก เช่น สนามบินในแหล่งท่องเที่ยวเมืองรอง สนามบินที่ยังไม่เป็นที่นิยม ฯลฯ ซึ่งเป็นนโยบายที่มีการใช้อย่างแพร่หลายทั่วโลก และประสบความสำเร็จ โดยการเปิดประมูลให้สายการบินเข้าแข่งขัน เพื่อกำหนดราคาตั๋วโดยสารที่ต่ำ หรือจูงใจให้ผู้โดยสารใช้บริการจำนวนมาก โดยรัฐจ่ายเงินอุดหนุนส่วนต่างให้กับสายการบิน แม้รัฐจะมีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ แต่จะช่วยให้นโยบายส่งเสริมเมืองรองได้ผล เช่นเดียวกับอินเดียและหลายๆ ประเทศที่ได้ดำเนินการ และประสบความสำเร็จมาแล้วเป็นอย่างดี นอกจากนั้น ยังช่วยให้มีการใช้สนามบินคุ้มค่าขึ้นอีกด้วย 

นายอธิรัฐ กล่าวอีกว่า นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำให้กระทรวงคมนาคม กพท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งรัดดำเนินการเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ในการทำให้ราคาตั๋วโดยสารเครื่องบินปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับที่เหมาะสมมากขึ้น ทั้งในส่วนที่ได้ดำเนินการไปแล้วและอยู่ระหว่างดำเนินการ เช่น ทยอยอนุญาตให้สายการบินนำเข้าอากาศยานเพิ่มเติม การเร่งแก้ปัญหาการบริการภาคพื้นที่สนามบินสุวรรณภูมิ รวมทั้งให้เร่งดำเนินการในแนวทางแก้ไขปัญหาต่างๆ ตามที่เสนอ นอกจากนั้น ยังให้ กพท. ติดตามตรวจสอบราคาค่าโดยสารภายในประเทศอย่างสม่ำเสมอ ขอความร่วมมือจากสายการบินให้จัดจำหน่ายบัตรโดยสารในราคาที่เหมาะสม ตลอดจนการประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจกับประชาชน ถึงวิธีการกำหนดราคาของสายการบินซึ่งเป็นหลักการทั่วไป ทั้งนี้ หากหลีกเลี่ยงการซื้อตั๋วโดยสารในระยะเวลากระชั้นชิดได้ ก็จะทำให้สามารถซื้อตั๋วได้ในราคาที่ไม่สูงจนเกินไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กพท. ได้กำหนดเพดานค่าโดยสาร(ต่อเที่ยว) สำหรับเส้นทางต่างๆ ไว้ ซึ่งผู้โดยสารสามารถตรวจสอบได้ที่ www.caat.or.th/th/archives/36895 โดยเพดานค่าโดยสาร(ต่อเที่ยว) จะแบ่งเป็น สำหรับสายการบินต้นทุนต่ำ(โลว์คอสต์) ไม่เกิน 9.40 บาทต่อกิโลเมตร(กม.) และสายการบินบริการเต็มรูปแบบ(ฟูลเซอร์วิส) ไม่เกิน 13 บาทต่อ กม. อาทิ เส้นทาง กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ระยะทาง 566 กม. เพดานราคาสายการบินโลว์คอสต์ 5,320 บาทและสายการบินฟูลเซอร์วิส 7,358 บาท

เส้นทาง กรุงเทพฯ-เชียงราย ระยะทาง 675 กม. เพดานราคาสายการบินโลว์คอสต์ 6,345 บาท และสายการบินฟูลเซอร์วิส 8,775 บาท, กรุงเทพฯ-น่าน ระยะทาง 552 กม. เพดานราคาสายการบินโลว์คอสต์ 5,188 บาท และสายการบินฟูลเซอร์วิส 7,176 บาท, กรุงเทพฯ-ภูเก็ต ระยะทาง 698 กม. เพดานราคาสายการบินโลว์คอสต์ 6,561 บาท และสายการบินฟูลเซอร์วิส 9,074 บาท, กรุงเทพฯ-กระบี่ ระยะทาง 669 กม. เพดานราคาสายการบินโลว์คอสต์6,288 บาท และสายการบินฟูลเซอร์วิส 8,697 บาท

กรุงเทพฯ-สุราษฎร์ธานี ระยะทาง 553 กม. เพดานราคาสายการบินโลว์คอสต์ 5,198 บาท และสายการบินฟูลเซอร์วิส 7,189 บาท, กรุงเทพฯ-นครศรีธรรมราช ระยะทาง 609 กม. เพดานราคาสายการบินโลว์คอสต์ 5,724 บาทและสายการบินฟูลเซอร์วิส 7,917 บาท, กรุงเทพฯ-หาดใหญ่ ระยะทาง 773 กม. เพดานราคาสายการบินโลว์คอสต์7,266 บาท และสายการบินฟูลเซอร์วิส 10,049 บาท, กรุงเทพฯ-ตรัง ระยะทาง 740 กม. เพดานราคาสายการบินโลว์คอสต์ 6,956 บาท และสายการบินฟูลเซอร์วิส 9,620 บาท, 

กรุงเทพฯ-อุดรธานี ระยะทาง 456 กม. เพดานราคาสายการบินโลว์คอสต์ 4,286 บาท และสายการบินฟูลเซอร์วิส 5,928 บาท, กรุงเทพฯ-อุบลราชธานี ระยะทาง 484 กม. เพดานราคาสายการบินโลว์คอสต์ 4,549 บาท และสายการบินฟูลเซอร์วิส 6,292 บาท, กรุงเทพฯ-ขอนแก่น ระยะทาง 388 กม. เพดานราคาสายการบินโลว์คอสต์3,647 บาท และสายการบินฟูลเซอร์วิส 5,044 บาท และ กรุงเทพฯ-บุรีรัมย์ ระยะทาง 332 กม. เพดานราคาสายการบินโลว์คอสต์ 3,120 บาท และสายการบินฟูลเซอร์วิส 4,316 บาท.