เมื่อวันที่ 16 เม.ย. รศ.นพ.สุรศักดิ์ ลีลาอุดมลิปิ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดี รักษาการแทนรองคณบดีฝ่ายดูแลสุขภาพ ให้สัมภาษณ์ถึงหนังสือของโรงพยาบาลรามาธิบดีเกี่ยวกับมาตรการรองรับกรณีโรคโควิด-19 ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 12 เม.ย. ที่ผ่านมา ใจความสำคัญให้เตรียมการรักษาหลังพบสายพันธุ์ลูกผสม XBB เพิ่มขึ้น และอาจไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยแอนติบอดีสำเร็จรูปหรือ LAAB จนเกิดข้อกังวลว่า สายพันธุ์นี้มีความรุนแรงหรือไม่ ว่าจริงๆ หนังสือที่ออกไปเป็นการแจ้งภายในเพื่อให้แพทย์ผู้ทำการรักษารับทราบถึงเชื้อโควิดที่มีการปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ เนื่องจากได้มีการประสานข้อมูลกับทางกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์อยู่ตลอด ทำให้ทราบว่าโควิดสายพันธุ์ลูกผสม XBB เพิ่มขึ้น จำเป็นต้องมีการปรับแนวทางการรักษาให้สอดคล้อง แต่ไม่ได้หมายความว่า เชื้อมีความรุนแรงหรือระบาดมากขึ้นแต่อย่างใด

“หนังสือดังกล่าว เป็นแนวทางการรักษาที่ออกมาเมื่อวันที่ 12 เม.ย. เนื่องจากเป็นช่วงวันหยุดยาว มีการแจ้งให้หน่วยงานภายในโรงพยาบาลรับทราบถึงการรักษา อย่างช่วงสงกรานต์คนจะทำกิจกรรมกันมาก อาจมีการติดเชื้อและเข้ารับการรักษา เราก็เตรียมพร้อม แต่ช่วงสงกรานต์ล่าสุดมีผู้เข้ารับการรักษาไม่ถึง 10 ราย ซึ่งเป็นผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว อาการไม่ได้น่าห่วง สามารถรักษาได้ สถานการณ์ไม่ได้แย่ เพียงแต่เราเตรียมพร้อม อย่างเดือนก่อนเราเพิ่งยกเลิกวอร์ดโควิด แต่เมื่อเข้าเทศกาลสงกรานต์เราก็เตรียมพร้อม แต่ไม่ได้มีการตั้งวอร์ดโควิดอะไร แค่เพิ่มเตียงรองรับ”

ผู้สื่อข่าวถามว่า เพราะอะไร รพ.รามาธิบดี จึงไม่ใช้ LAAB และโมลนูพิราเวียร์ (MoInupiravir) ในการรักษาโควิด รศ.นพ.สุรศักดิ์ กล่าวว่า จากข้อมูลพบว่า การตอบสนองต่อยาไม่ดีพอ เพราะเชื้อเปลี่ยนไป จากสมัยก่อนโมลนิฯ มีประสิทธิภาพดีมาก แต่ตอนนี้เชื้อเปลี่ยนไป แต่สถานการณ์ก็ยังไม่ได้รุนแรงอะไร ทาง รพ.รามาฯ ยังไม่ต้องเปิดวอร์ดโควิดอีก ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง เหมือนไข้หวัด เพียงแต่ผู้สูงอายุ กลุ่มโรคประจำตัวบางท่านอาจมีอาการมากกว่าคนอื่น แต่เรามียารักษาได้.