จากกรณี น.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 60 ปี พยานบุคคล พยานคนใหม่ และเป็นเพื่อนสนิทของ แอม ไซยาไนด์ เข้าให้ปากคำกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ที่สโมสรตำรวจ ในวันนี้ ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

เมื่อเวลา 17.20 น. วันที่ 11 พ.ค. หลังจากพยานเข้าให้ปากคำกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. และพนักงานสอบสวน นานกว่า 4 ชั่วโมง มูลนิธิวินวิน ก็ได้พาตัวพยานคนนี้ ไปที่ตำรวจภูธรภาค 7 เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติมกับชุดคลี่คลายคดี

โดยพยานหญิงรายนี้ เปิดเผยว่า ในช่วงที่มีการส่งพัสดุกล่องนี้มาให้ตัวเอง เจ้าหน้าที่ส่งพัสดุแจ้งว่า ไม่มีการเรียกเก็บเงินค่าส่งและค่าสินค้าใดๆ จึงเกิดความสงสัยขึ้น เพราะตามปกติแล้ว เวลาตัวเองสั่งสินค้าจะให้เก็บเงินปลายทางตลอด โดยตอนแรกตนเองเข้าใจว่า ส่งไปที่บ้านตามที่อยู่บัตรประชาชน แต่ต่อมาเจ้าหน้าที่ส่งพัสดุแจ้งว่า จะนำไปไว้ที่ตึกใหม่ ซึ่งทำให้ตัวเองรู้ว่าสถานที่ส่งพัสดุที่จริงแล้วเป็นคอนโดมิเนียมที่ตัวเองไม่ได้อยู่อาศัยนานแล้ว หลังจากนั้นก็ไม่ได้สนใจไปเปิดดูพัสดุ จนมาถึงวันนี้กลับไปดูพัสดุ และเห็นว่าพัสดุจ่าหน้าว่ามาจากท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี จึงเกิดความสงสัยขึ้น ซึ่งตนเองยืนยันว่าไม่รู้จักชื่อผู้ส่งพัสดุ

พร้อมทั้งยอมรับว่า รู้จักกับแอม มาตั้งแต่ปี 2563 เพราะเคยชักชวนลงทุน และตนเองก็ได้ลงทุน แต่ไม่ขอเปิดจำนวนที่ร่วมลงทุนไป แต่ได้เงินคืนทั้งหมด รวมถึงแนะนำให้ไปกู้เงินธนาคาร เพื่อนำเงินมาเพิ่มในการไปลงทุน โดยตนเองได้เอาสำเนาบัตรประชาชนของตนให้แอมไว้ เพื่อให้ไปสอบถามทางธนาคารว่าติดเคดิตบูโร หรือสามารถกู้เงินได้หรือไม่ เหตุนี้จึงทำให้แอมมีที่อยู่ของตัวเอง ที่ผ่านมาแอมไม่เคยมาคอนโดฯ ของตัวเอง

ส่วนเหตุผลที่ส่งพัสดุไปที่ตนเองนั้นก็ไม่ทราบเพราะอะไร แต่ก่อนหน้านี้ตนเองเคยอธิษฐานถึงก้อยว่า หากเขาเป็นคนผิด ให้ก้อยทำอะไรก็ได้ให้รู้ว่าแอมเขาเป็นคนผิด ทั้งนี้ 3 ปีที่ผ่านมา แอมมักจะปรึกษาเรื่องส่วนตัว เรื่องในครอบครัว และเรื่องทางการเงิน โดยแอมอ้างว่า เล่นแชร์แล้วโดนโกง ซึ่งตนเองไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ แต่ก็ให้คำแนะนำไปว่าอย่าเล่นแชร์เลย ทำมาหากินอย่างอื่นดีกว่า และส่วนมากก็จะปรึกษาในเรื่องที่อยากปรึกษา ไม่ใช่ทุกเรื่อง ซึ่งตนเองก็เป็นผู้ฟังที่ดี และแนะนำสิ่งที่ถูกต้อง พร้อมยอมรับว่า แอมเคยยืมเงินตนเองด้วยเช่นกัน แต่แค่หลักพัน

ขณะที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า พยานรายนี้ถือเป็นปากสำคัญในคดี เพราะได้นำหลักฐานสำคัญ ซึ่งเป็นของนางสาวศิริพร หรือ ก้อย มามอบให้กับตำรวจ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตำรวจได้ตามหามาระยะหนึ่งแล้ว แต่ก็ไม่พบ กระทั่งมีการส่งทรัพย์สินของนางสาวก้อย ไปให้พยาน ที่คอนโดฯ ในจังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเป็นคอนโดฯ ที่พยานไม่ได้พักอาศัยอยู่นานแล้ว ซึ่งขณะนี้ตำรวจทราบรายชื่อผู้ส่งพัสดุแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่ามีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องยังไงกับแอม โดยตำรวจจะมีการเชิญตัวผู้ที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการรับและส่งพัสดุกล่องนี้มาสอบปากคำทั้งหมด โดยเฉพาะรายชื่อสุดท้าย จากอำเภอท่ามะกา จ.กาญจนบุรี ที่ส่งมายังจังหวัดเพชรบุรี ก็ได้มีการเชิญตัวผู้ส่งพัสดุมาสอบปากคำแล้ว ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 แล้วเช่นกัน และหลังจากนี้ก็ต้องดูว่า มีส่วนรู้เห็นในการร่วมกันกระทำความผิด ซึ่งยืนยันว่า หากมีพยานหลักฐานว่ามีส่วนรู้เห็น ก็จะต้องถูกดำเนินคดีทั้งหมด ขณะที่จากการตรวจสอบยังพบอีกว่า กล่องพัสดุที่ซุกซ่อนทรัพย์สินของนางสาวก้อย ได้มีการส่งหมุนเวียนไปประมาณ 2-3 จังหวัด ก่อนจะถูกส่งมาที่จังหวัดเพชรบุรี เป็นที่สุดท้าย โดยการกระทำในลักษณะนี้ มองว่ามีจุดประสงค์ในการอำพรางหลักฐานทางคดี

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวต่ออีกว่า พยานปากนี้ ถือเป็นคนสนิทของแอม และเป็นคนที่แอม ไว้ใจมากที่สุด และมีรายชื่อในบัญชีเข้าเยี่ยมผู้ต้องหาของกรมราชทัณฑ์ ที่สามารถเข้าเยี่ยมได้ตลอด ซึ่งหลังจากนี้ ตัวเองจะพาพยานปากนี้ เข้าไปพูดคุยกับแอม ในประเด็นเรื่องทรัพย์สินของก้อย ที่ถูกส่งไปถึงพยาน ซึ่งก่อนหน้านี้แอม เคยให้การไว้กับตำรวจระบุว่า นำทรัพย์สินเหล่านี้ใส่ถุงดำไปทิ้งถังขยะแล้ว

ขณะเดียวกัน วันนี้ตำรวจยังได้เชิญ พ.ตท.วิฑูรย์ รังสิวุฒาภรณ์ หรือ รองอ๊อฟ อดีตสามีของแอม เข้าให้การเป็นครั้งที่ 3 ในประเด็นเรื่องเส้นทางการเงินต่างๆ ของแอม ที่เบื้องต้นพบมีการโอนออกไปยัง 12 บัญชี นอกจากนี้ยังได้เชิญ พ่อ-แม่ และญาติ ของแอม เข้าให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วย

ส่วนในทางคดีใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยวันพรุ่งนี้ (12 พ.ค.) จะมีการสรุปผลตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ทั้งหมด รวมถึงแนวทางการสืบสวน ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนกรณีผู้ที่เกี่ยวข้อง ส่วนจะสามารถออกหมายจับได้หรือไม่ ยังไม่ชี้ชัด ขอตรวจสอบพยานหลักฐานทั้งหมดอีกครั้ง