เมื่อวันที่ 22 พ.ค. เวลา 13.00 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เดินทางมายื่นเรื่องร้องเรียนเรียนต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ตรวจสอบว่า พฤติกรรมที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล และ น.ส.พรรณิการ์ วานิช เป็นบุคลลที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค เข้าข่ายครอบงำ ชี้นำการทำงานของพรรคก้าวไกล ขัดมาตรา 28 พ.ร.ป.พรรคการเมือง 2560 หรือไม่ โดยมีการ์ดคอยดูแลความปลอดภัยจำนวนหนึ่ง ซึ่งจากเดิมมีการนัดหมายยื่นเรื่องร้องเรียนเมื่อเวลา 10.00 น. แต่เลื่อนออกไปเป็นเวลา 13.00 น. แทน ภายหลังนายวีรวิชญ์ รุ่งเรืองศิริผล หรือลุงศักดิ์ ผู้ที่เคยบุกชกนายศรีสุวรรณ พร้อมด้วยนายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือทนายอั๋น เดินทางมายื่นคัดค้านการร้องเรียนของนายศรีสุวรรณ พร้อมให้สัมภาษณ์ว่าอยากเจอหน้า แต่รอไม่ไหว จึงกลับไปก่อน

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ และตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค แต่ยังพบว่าบุคคลทั้ง 3 ซึ่งเคยเป็นอดีตกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ กลับมีการเคลื่อนไหว ทั้งการตั้งคณะก้าวหน้า และมูลนิธิก้าวหน้า โดยมีสถานที่ตั้งเดียวกับพรรคก้าวไกล จากนั้นมีการรณรงค์ล่ารายชื่นประชาชน 5 หมื่นชื่อ เพื่อแก้ไข พ.ร.บ.การเลือกตั้งท้องถิ่น ขณะที่พรรคก้าวไกลมีการล่ารายชื่อคู่ขนานไปในทางเดียวกัน แม้ว่ากฎหมายดังกล่าวจะถูกตีตก ไม่ผ่านรัฐสภา แต่บุคคลทั้ง 3 ยังมีการขับเคลื่อนเชิงนโยบาย ผลักดันการกระจายอำนาจ ปฏิรูปท้องถิ่นเรื่อยมาจนถึงการเลือกตั้ง ส.ส. เมื่อวันที่ 14 พ.ค. ก็เลี่ยงกฎหมายด้วยการไปเป็นผู้ช่วยหาเสียง และออกหาเสียงทั่วประเทศให้กับพรรคก้าวไกล

เมื่อเลือกตั้งเสร็จ พรรคก้าวไกลมีคะแนนเสียงมาเป็นอันดับหนึ่ง กำลังจัดตั้งรัฐบาล บุคคลทั้ง 3 ก็ไปร่วมวงจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคการเมืองอื่น พฤติกรรมเหล่านี้สะท้อนว่าทั้ง 3 คน เข้าไปเกี่ยวพันกับพรรคก้าวไกลอย่างต่อเนื่อง จึงอาจเข้าข่ายเป็นการชี้นำ ครอบงำ ก้าวก่าย การทำกิจกรรมของพรรค ขณะเดียวกัน ก่อนหน้านี้ นายธนาธร เคยให้สัมภาษณ์ผ่านรายการคุยฟ้าผ่า ทางช่องยูทูบว่า ได้สั่งให้ ส.ส.พรรคก้าวไกล หาเสียงเพื่อผลักดันร่าง พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า โดยพรรคก็ขานรับ ตนจึงเห็นว่าเป็นเหตุที่ กกต. ต้องวินิจฉัยตามกฎหมาย จึงนำหลักฐานเป็นคลิปเสียงพร้อมถอดเทปมายื่นต่อ กกต. เพื่อชี้ให้เห็นว่า ทั้ง 3 คน ไม่ได้มีการตัดขาดกับพรรคก้าวไกลเลย และหาก กกต. วินิจฉัยว่า ทั้ง 3 มีความผิดตามมาตรา 28 ในส่วนของพรรค ก็จะเข้าข่ายยอมให้บุคคลซึ่งไม่ใช่สมาชิกพรรคชี้นำ ครอบงำ ก็จะเข้าข่ายผิดตามมาตรา 29 เป็นเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคการเมืองได้

นายศรีสุวรรณ ยืนยันว่า การร้องเรียนต่างๆ เป็นการทำหน้าที่ตรวจสอบตามที่กฎหมายเลือกตั้ง และกฎหมายรัฐธรรมนูญให้สิทธิ ซึ่งประชาชนกว่า 70 ล้านคน ก็สามารถทำได้ เพียงแต่ประเด็นที่ตนร้อง อาจจะไปขัดหูขัดตาผู้ที่มีอำนาจ แต่ไม่ได้รู้สึกหวั่นเกรงอะไร เพราะจะให้คนรักทั้ง 100% ก็ไม่ได้ ก็เหมือนพรรคการเมืองที่มีทั้งคนชอบ และไม่ชอบ แต่เรายืนยันว่า ทำหน้าที่ด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่ต่อไปอาจจะไม่มีการแจ้งหมายงานต่อสื่อมวลชนล่วงหน้า เพราะไม่อยากให้เกิดการปะทะกัน

ส่วนที่มีผู้มายื่นคัดค้านการร้องเรียนของตนนั้นมองว่า เป็นสิทธิที่เขาสามารถทำได้ แต่คนที่ทำร้ายตน กฎหมายก็คือกฎหมาย อย่ามาร้องห่มร้องไห้ ตีหน้าเศร้าเพื่อรับเงินบริจาค ถ้าทำรับรองเจออีกคดีแน่ กล้าทำผิดก็ต้องยอมรับผิด เป็นลูกผู้ชายหน่อย ทั้งนี้ ที่ผ่านมาตนร้องมาเป็นร้อยๆ เรื่องแล้ว จะให้สัดส่วนเรื่องที่ร้องเรียนของแต่ละฝั่งเท่าๆ กัน คงเป็นไปไม่ได้

เมื่อถามว่าเหตุที่มาร้อง เพราะมองว่านายพิธา ไม่เหมาะสมเป็นนายกฯ หรือไม่ นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า นายพิธาเหมาะสมเป็นนายกฯ เพราะเป็นคนรุ่นใหม่ แต่นโยบายของพรรคบางเรื่องไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมไทย โดยเฉพาะตรา 112 กระทบใจคนไทยมาก ซึ่งนายพิธา ก็ยืนยันว่าจะเดินหน้าทำเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นเรื่องความเหมาะสมก็เรื่องหนึ่ง

เมื่อถามว่า หัวหน้าพรรคการเมืองทั้ง 70 พรรคนั้น ใครเหมาะสมเป็นนายกฯ นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ไม่มีใครเหมาะสม ตนไม่เชียร์ใคร ตนทำหน้าที่ตรวจสอบอย่างเดียว พรรคก้าวไกลถ้าถอยเรื่อง 112 ได้ คิดว่าจะกลายเป็นฮีโร่ของคนไทยด้วยซ้ำ ถ้าเขาจะสง่างาม ควรถอยเรื่องนี้ จากนั้นให้ไประดมความคิดเห็นของคนที่เห็นต่าง เพื่อให้ตกผลึกก่อนผลักดันเป็นนโยบาย เพราะหากยังดัน 112 ต่อ คนที่ไม่เห็นด้วย คนจำนวนไม่น้อยที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ ทั้งในและนอกสภา จะทำให้เกิดความขัดแย้ง กลัวว่าประเทศไทยจะเป็นยูเครน 2

“ต่อไปการทำหน้าที่อาจจะต้องเปลี่ยนวิธีการ วันนี้มีการ์ดมาคอยดูแล เพราะถูกทำร้ายมา 2 รอบ ยอมรับว่าห่วงครอบครัว แต่ภรรยาก็เป็นคนคอยให้กำลังใจ และคอยชี้แนะ เพราะเป็นคนที่มีแนวคิดเดียวกัน ซึ่งต้องขอบคุณที่เขาคอยชี้แนะและเป็นกำลังใจให้”

เมื่อถามว่าไม่กลัวปากแตกอีกหรือ นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ถ้ากลัวก็ไม่มายืนอยู่ตรงนี้ ไม่มีใครหยุดศรีสุวรรณได้ มีแต่จะทำงานให้หนักขึ้น ตอนนี้ปากหายแล้ว กินน้ำพริกได้แล้ว หล่อแล้ว ส่วนกรณีนายวีรวิชญ์ ระบุว่าจะไม่จ่ายให้แม้แต่บาทเดียวนั้น ก็เป็นเรื่องของเขา หากไม่มีเงิน ศาลมีคำพิพากษาเมื่อไหร่ ตนก็เอาหมายไปยึดทรัพย์ ขายทอดตลาด แต่ก็กลัวว่าจะได้ไม่ถึง และส่วนใครจะจับมือ เปลี่ยนขั้วอย่างไรนั้น เป็นเรื่องของเขา อย่าทำผิดกฎหมายก็แล้วกัน หากทำผิดกฎหายเมื่อไหร่ ศรีสุวรรณร้องแน่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายศรีสุวรรณยังได้เข้าให้ถ้อยคำต่อ กกต. กรณียื่นคำร้องขอให้ตรวจสอบพรรคเพื่อไทย กรณีนายสมชาย แสวงการ ออกมาโพสต์คลิปทักษิณ สั่ง ส.ส. โอนเงินซื้อสิทธิ ขายเสียง เพื่อให้ประชาชนเลือกพรรคเพื่อไทย ให้แลนด์สไลด์

นอกจากนี้ในวันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายนพรุจ วรชิตวุฒิกุล อดีตแกนนำกลุ่มพิราบขาว 2006 มายื่นหนังสือขอให้ กกต. เร่งตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามสมัครในการลงสมัครเป็น ส.ส. ของนายพิธาจากการถือครองหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) โดยมองว่า ขณะนี้พยานหลักฐานน่าจะครบถ้วนเพียงพอแล้วในการตรวจสอบ อีกทั้งมีผู้ยื่นร้องเรียนหลายคนแล้ว ก่อนหน้านี้ตนได้ยื่นเรื่องให้ กกต. ตรวจสอบตั้งแต่วันที่ 11 พ.ค. ก่อนการเลือกตั้งทั่วไป แต่ยังไม่ดำเนินการ จึงมาจี้ให้ กกต. เร่งพิจารณามีมติภายใน 15 วัน 

โดยวันนี้ได้นำหลักฐานมายื่นเพิ่มเติมเพื่อประกอบการพิจารณาของ กกต. เชื่อว่าเพียงพอต่อการวินิจฉัย ประเด็นคือการเลิกกิจการหรือไม่เลิกกิจการของบริษัทไอทีวี การถือครองหุ้นสื่อและจำนวนหุ้นของนายพิธา ซึ่งเห็นว่ากิจการอาจจะเลิกในบางส่วน แต่ยังไม่ได้เลิกประกอบการ อีกทั้งมีเอกสารเชิญผู้ถือหุ้นเข้าร่วมประชุมเมื่อวันที่ 26 เม.ย. 66 มีการรายงบการเงินประจำปี แสดงให้เห็นว่ากิจการไม่ได้เลิก แต่มีการหยุดประกอบกิจการบางส่วน หยุดซื้อขายหุ้นตั้งแต่ปี 57 โดยคำสั่งตลาดหลักทรัพย์ ดังนั้นหาก กกต. มีมติว่านายพิธา ถือหุ้นจริง และผิดดังนั้นการรับสมัคร ส.ส. ของนายพิธา ไม่สมบูรณ์มาตั้งแต่ปี 62 และต้องตัดสินตั้งแต่ปี 62 และการเซ็นรับรองผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคเป็นโมฆะ ทั้งนี้ตนได้ยื่นให้ กกต. พิจารณาสิทธิการลงสมัครรับเลือกตั้งของนายพิธา ตั้งแต่ 62 และ 66 สถานะหัวหน้าพรรคในการลงนามรับรองส่งผู้สมัครของพรรค กรณีรู้อยู่แล้วขาดคุณสมบัติกรณีถือหุ้นสื่อ ซึ่งเข้าข่ายขาดคุณสมบัติลงสมัครรับเลือกตั้ง ใน ส.ส. มาตรา 42 และมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) รวมทั้ง กกต. ต้องพิจารณาถึงคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ของพรรคก้าวไกลด้วย