จากการที่ เดลินิวส์ เกาะติดนำเสนอข่าวตีแผ่ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน ซึ่งถือเป็นภัยทางเศรษฐกิจสร้างความเสียหายให้กับประเทศ โดยในแต่ละปีสร้างความเสียหายเป็นเม็ดเงินมหาศาล ที่ผ่านมาทุกรัฐบาลพยายามทำทุกวิถีทางที่จะแก้ไขปัญหา แต่ดูเหมือนว่าขบวนการดังกล่าวไม่ได้ลดน้อยลงไปเห็นได้จากข่าวการจับกุมขบวนการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ตามที่เสนอข่าวไปนั้น

ตีแผ่ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน เปิด5รูปแบบแสบ เลี่ยงภาษีทำรัฐสูญเงินมหาศาล

ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. มีรายงานว่า ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนจะประกอบไปด้วยนายทุน ซึ่งจะเป็นผู้ลงเงินในการซื้อน้ำมันเถื่อนจากประเทศเพื่อนบ้านมาขายในประเทศไทย จากนั้นจะมีนายหน้า ซึ่งรับหน้าที่เป็นผู้เคลียร์เส้นทางเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับรถขนน้ำมันเถื่อน

โดยแหล่งที่มาของน้ำมันหลักจะมี 2-3 แหล่ง คือ ซื้อน้ำมันราคาถูกจากประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ และซื้อจากเรือของแท่นขุดเจาะก๊าซธรรมชาติที่ลักลอบนำมาขาย โดยการรับ-ส่งน้ำมันแต่ละครั้งจะจอดเรือใหญ่บริเวณรอยต่อน่านน้ำไทยกับน่านน้ำสากล เพื่อถ่ายน้ำมันลงเรือเล็ก ซึ่งเครือข่ายผู้ค้ามีเรือประมงดัดแปลงสำหรับบรรทุกน้ำมันโดยเฉพาะไปรับน้ำมัน และมีรถบรรทุกคอยรับช่วงต่อตามชายฝั่งเพื่อขนส่งทางบกไปจุดนัดหมายบริเวณชายฝั่ง หรือตามจุดที่ตกลงกันไว้ เมื่อได้น้ำมันเป็นที่เรียบร้อยก็จะขายในลักษณะตัดราคา ทำให้ผู้ประกอบการที่จ่ายภาษีให้แก่รัฐได้รับความเดือดร้อน

นอกจากนี้แนวทางสืบสวนของศูนย์ปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปนม.ตร.) พบว่ามีกลุ่มลักลอบค้าน้ำมันเถื่อนเบื้องต้น ประมาณ 9 กลุ่ม ใน 3 จังหวัดใหญ่ ประกอบไปด้วย จังหวัดสตูล, สงขลา, และนราธิวาส ซึ่งในจังหวัดสตูล มีเครือข่ายของบังหมาน และเจ๊แดง จังหวัดสงขลา มีเครือข่ายของเจ๊ฟาง ติกะ และนายดอน จังหวัดนราธิวาสมีเครือข่ายของนายดี นายแซ เจ๊พัน และนายต๋อง เป็นต้น ซึ่งบางส่วนถูกเจ้าหน้าที่จับกุมได้แล้ว

โดยในรายของเจ้ฟาง พบว่า มีรถบรรทุกสินค้าเป็นเครือข่าย แต่ละคันจะดัดแปลงถังน้ำมันให้มีขนาดใหญ่ และมีช่องเก็บน้ำมันได้มากขึ้น โดยรถบรรทุกเหล่านี้ จะเข้าไปส่งสินค้าที่ชายแดนประเทศมาเลเซียทุกวัน วันละนับสิบรอบ เมื่อรถขนสินค้าเสร็จ ก็จะเติมน้ำมันจนเต็มถังที่ดัดแปลง และขับกลับออกมาจากชายแดนมุ่งหน้าไปยังโกดังในตำบลทุ่งลุง ซึ่งอยู่ห่างพรมแดนประมาณ 30 กิโลเมตร เพื่อไปรอถ่ายให้กับรถปิกอัพ ที่จอดรออยู่ในโกดังชายป่า บริเวณริมถนนกาญจนวนิช ต.พะตง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา

นอกจากนี้มีรายงานว่าการลักลอบขนส่งทางบกจะใช้รถบรรทุกสินค้าเป็นพาหนะหลัก โดยส่วนมากจะเป็นรถขนน้ำมันหรือไม่หากในสถานการณ์ที่มีการเฝ้าระวังก็จะตบตาเจ้าหน้าที่ในการใช้รถกระบะ แต่ละคันจะดัดแปลงถังน้ำมันให้มีขนาดใหญ่ และมีช่องเก็บน้ำมันได้มากขึ้น ซึ่งรถที่เป็นที่นิยมส่วนมากคือ รถกระบะโตโยต้าวีโก้ เนื่องจากตัวถังและช่วงล่างใหญ่ สามารถดัดแปลงให้ซ่อนน้ำมันได้ตามท่อตามแนวต่างๆ ได้มากที่สุดถึงเกือบพันลิตร บางก็จะใช้วิธีปิดตู้ทึบเพื่ออำพราง อย่างไรก็ตาม กลุ่มเจ้ฟางถือเป็นเจ้าใหญ่ทำมาเป็นสิบปี โดยรถแต่ละคัน จะบรรทุกน้ำมันได้ครั้งละ 1 พันลิตร เฉลี่ยวันละ 10 กว่าเที่ยว ที่วิ่งเข้าออก ระหว่างพรมแดน ซึ่งมีระยะห่างไม่ถึง 30 กิโลเมตร โดยจะร่วมมือกับคนขับรถหัวลาก พอได้น้ำมันออกมาจากนั้นก็จะเอามารวมกันไว้ที่โกดัง เพื่อถ่ายขายปลีกในพื้นที่ ทั้งปั้มหลอด ประมง และเกษตรกรรม

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.ในฐานะผอ.ศูนย์ปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปนม.ตร.) กล่าวว่า ขบวนการดังกล่าวสร้างความเสียหายให้กับรัฐต้องสูญเสียรายได้จากภาษีน้ำมันมากกว่าร้อยล้านบาทต่อปี ซึ่งทางพล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ดำเนินการปราบปรามเครือข่ายลักลอบนำน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาจำหน่าย จึงได้เร่งรัดจับกุมผู้กระทำผิด โดยเน้นการเพิ่มการป้องกันตามชายแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งพบการกระทำผิดคือ สงขลา สตูล และนราธิวาส รวมทั้งพื้นที่จังหวัดใกล้เคียงคือปัตตานี ยะลา ตรัง และพัทลุง เป็นต้น รวมทั้งการลักลอบนำเข้าน้ำมันทางทะเลทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน โดยร่วมบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร กองทัพเรือ และศรชล เป็นต้น

รอง ผบ.ตร. กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาทางศปนม.ตร.ได้มีการจับกุมเครือข่ายผู้กระทำผิดซึ่งลักลอบนำน้ำมันจากประเทศมาเลเซียเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยได้เป็นจำนวนมากหลายแสนลิตรต่อเดือน ซึ่งกลุ่มเหล่านี้มักใช้วิธีการในการลักลอบขนในปริมาณน้อยจำนวนหลายครั้งแล้วนำเข้ามาเก็บ รวมในโกดังที่เตรียมไว้จากนั้นจึงลักลอบนำไปขายให้กับพวกปั๊มหลอด เรือประมงขนาดเล็ก หรือรถขนส่ง ทำให้รัฐเสียรายได้ต่อปีเป็นจำนวนมาก และส่งผลกระทบกับสถานีบริการน้ำมันในพื้นที่ซึ่งประกอบอาชีพถูกต้องเสียภาษีถูกต้องตามกฎหมาย ได้รับความเดือดร้อน นอกจากที่จะจับกุมกลุ่มผู้ลักลอบนำเข้าเหล่านี้แล้ว จะขยายผลดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเครือข่ายอื่นๆที่ยังกระทำผิดอยู่ในพื้นที่ตามแนวชายแดนนำมาดำเนินคดีตามกฎหมายโดยเด็ดขาด