เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. ที่ จ.แพร่ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย กล่าวภายหลังร่วมสัมมนากับ 24 องค์กร จ.แพร่ ว่า มาครั้งนี้ได้ข้อมูลครบถ้วน เพราะทางว่าที่ ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย ทั้ง 3 คน นำโดยนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ที่มีความผูกพันในพื้นที่มานาน และนำเอานักธุรกิจ สภาการท่องเที่ยวและวิสาหกิจชุมชนมาร่วมในครั้งนี้ ทำให้เราเห็นศักยภาพ ปัญหารวมทั้งอนาคตของ จ.แพร่ ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวที่สามารถทำให้ดีขึ้นได้ รวมถึงกรณีสายการบินมีการยกเลิกเที่ยวบิน ไม่ใช่ว่าไม่มีนักท่องเที่ยว แต่เป็นเพราะสายการบินไปบินในเส้นทางอื่นที่ได้กำไรเยอะขึ้น รวมถึงห้องพักโรงแรมที่มีน้อยไม่ถึง 2 พันห้อง ทั้งนี้ จ.แพร่ เป็นจังหวัดที่น่าสนใจ เพราะมีโบราณสถานเยอะมาก เป็นหน้าที่ของรัฐบาลใหม่ที่หากพรรค พท. เข้าไปมีส่วนร่วม จะทำให้ จ.แพร่ ซึ่งเป็นเมืองรองเจริญก้าวหน้าขึ้นมาได้ หากเราทำได้จะสามารถส่งเสริมการท่องเที่ยวให้ดีขึ้นได้มาก

ทางด้านนายวรวัจน์ กล่าวว่า ความคิดของคนแพร่ เขาคิดว่าช่วง 9-10 ปีที่ผ่านมา เขาเสียโอกาสมามากในการพัฒนาจังหวัดของเรา แต่ปัญหาที่สำคัญที่สุดคือปัญหาด้านเศรษฐกิจ การแก้ไขปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชน จ.แพร่ มองว่าหากเป็นพรรค พท. การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทยจนถึงพรรคพลังประชาชน สามารถทำได้ดีมาก และเขามีชีวิตความเป็นอยู่ได้ ดังนั้นคน จ.แพร่ บอกเลยว่า อย่างไรก็พรรค พท. ไม่เปลี่ยนแปลง เราเชื่อมั่นพรรค พท. ในเรื่องของการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและปากท้อง นี่คือความรู้สึกของคน จ.แพร่ และคนในหลายๆ จังหวัดก็มีความคิดเช่นนี้

ดังนั้นตนคิดว่าจะเป็นวันเวลาที่พิสูจน์ว่าพรรค พท. เข้ามาแล้ว วันนี้แคนดิเดตนายกฯ พรรค พท. มาที่ จ.แพร่ แล้ว ทุกคนดีใจ วันนี้ท่านมารับฟังปัญหาเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง เพื่อนำไปสู่การแก้ไข นี่คือการทำงานทางการเมืองที่แตกต่างกัน นี่คือจุดแข็งของพรรค พท. ที่ทำให้ทุกจังหวัดเห็นว่าพรรค พท. เท่านั้น คือความหวังในการอยู่ดีกินดี รวมทั้งอนาคตของพี่น้องประชาชน

“พรรค พท. ไม่ได้เพิ่งเริ่มทำงานใน จ.แพร่ ตั้งแต่พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน มาจนถึงพรรค พท. ชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องที่ดีขึ้น คือบทพิสูจน์ของการพัฒนา ทำให้คน จ.แพร่ มั่นใจว่า ไม่ว่าในอดีตจนถึงอนาคต พรรค พท. เป็นความหวังในการพัฒนาชีวิตครอบครัว มั่นใจว่า จ.แพร่ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปจากพรรค พท.” นายวรวัจน์ กล่าว

ต่อมาที่ปางช้างแม่ริม อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ วันเดียวกัน นายเศรษฐาพร้อมด้วยนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ว่าที่ ส.ส.เชียงใหม่ พรรค พท. เข้าพบเจ้าหน้าที่ทีมแพทย์ และนายกสมาคมสหพันธ์ช้างไทย

สำหรับปางช้างแม่ริมนั้น ขณะที่นายเศรษฐาเป็นประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แสนสิริ ได้ร่วมผลักดันบริจาคกับสมาคมสหพันธ์ช้างไทย ช่วยช้างในการจัดสรรที่ดินพัฒนา เพาะปลูกหญ้าเนเปียร์เป็นอาหารเลี้ยงช้างกว่า 70 ไร่ โดยมีผลผลิตกว่า 20,000 ตันต่อปี

ทันทีที่นายเศรษฐามาถึงได้นำหญ้าเนเปียร์ให้ช้างได้กิน จากนั้นนายเศรษฐาพร้อมคณะ ได้รับฟังเสียงสะท้อนจากตัวแทนปางช้างแม่ริม สมาคมสหพันธ์ช้างไทย โดยมีการสะท้อนปัญหาการช่วยชีวิตดูแลช้าง ที่ขณะนี้ยังขาดแคลนรถกู้ภัยช่วยช้างที่มีมูลค่าคันละไม่ต่ำกว่า 4-5 ล้านบาท และในประเทศไทยมีเพียง 1 คัน จึงอยากให้รัฐบาลใหม่ช่วยผลักดัน ซึ่งที่ผ่านมา การขนช้างและช่วยชีวิตช้างเป็นไปลำบาก เพราะมีรถกู้ภัยช่วยช้างเพียง 1 คัน ค่าขนช้างครั้งหนึ่งไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท อีกทั้งหลังผ่านช่วงวิกฤติโควิด-19 แล้ว การท่องเที่ยวยังไม่ดีขึ้น

โดย นายกสมาคมสหพันธ์ช้างไทย สะท้อนปัญหาว่า ขณะนี้ยังไม่มีรัฐบาลไหนดูแลระบบเรื่องการเลี้ยงอาหารของช้างอย่างเป็นรูปธรรม จึงอยากให้มีการดูแลช้างผ่านสถาบันคชบาลแห่งชาติ หรืออยากให้รัฐบาลในอนาคต ถ้าตั้งองค์กรดูแลช้าง สร้างองค์กรใหม่ก็สามารถทำได้ หรือจะให้สถาบันคชบาลแห่งชาติ ดูแลรับผิดชอบช้างทั่วประเทศก็ได้

ขณะที่นายเศรษฐากล่าวว่า ตนจะช่วยประสานทาง บมจ.แสนสิริ มาทำด้านการประชาสัมพันธ์เชิงรุกให้กับปางช้างแม่ริมต้น ว่าเป็นการเลี้ยงดูช้างให้มีความเป็นอยู่ที่ดีทำอย่างไร โดยให้ประชาสัมพันธ์ถึงการรักษาช้าง ไม่ใช่เป็นการทรมาน รวมทั้งยังรับปากด้วยว่าจะบอกเพื่อนฝูงที่มีที่ดินที่ไม่ได้พัฒนา ให้ช่วยหาพื้นที่ปลูกหญ้าเนเปียร์ เพื่อเป็นอาหารให้กับปางช้างแม่ริม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างเดินทางออกมาจากปางช้าง นายเศรษฐาได้ถูกช้างแกล้งโดยการพ่นน้ำใส่ ทำให้ช่วงหนึ่ง นายเศรษฐาต้องวิ่งหลบและรีบไปขึ้นรถทันที