จากกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รับกรณีการตรวจพบความผิดปกติของงบการเงินของ บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (STARK) เป็นคดีพิเศษ ตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 โดยการสืบสวนเบื้องต้นมีมูลเชื่อว่ามีการกระทำผิดของกรรมการ หรือ ผู้บริหาร หรือบุคคลอื่นใด เกิดขึ้น ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งพฤติการณ์มีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความเชื่อมั่นในตลาดทุน และระบบเศรษฐกิจการคลังของประเทศนั้น

DSI รับมหากาพย์โกงหุ้น STARK เป็นคดีพิเศษ มูลค่าเสียหายนับหมื่นล้าน

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. ที่ ห้องประชุม 3 อาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ ชั้น 2 ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ กรมสอบสวนคดีพิเศษ นำโดย พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีดีเอสไอ ร่วมประชุมความร่วมมือกับนายธวัชชัย พิทยโสภณ รองเลขาธิการ รักษาราชการแทนเลขาธิการ ก.ล.ต. พ.ต.อ.อภิชน เจริญผล รอง ผบก.ปอศ. กรณีบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ร้องทุกข์กล่าวโทษอดีตผู้บริหารและผู้เกี่ยวข้อง ในความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 และความผิดอาญาอื่นที่อาจเกี่ยวข้องกัน (คดีพิเศษที่ 57/2566)

พ.ต.ต.ยุทธนา กล่าวว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ตามที่ พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล อธิบดีดีเอสไอ ได้มอบนโยบาย โดยดีเอสไอได้มีการวางแนวทางสอบสวนร่วมกันกับทาง บก.ปอศ. ส่วนบ่ายวันนี้ อธิบดีได้มอบหมายให้ตนพูดคุยหารือกับทางรองเลขาธิการ ก.ล.ต. และคณะ เพื่อร่วมประชุมกำหนดแนวทางการดำเนินการเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ สำหรับประเด็นสำคัญที่มีการหารือ ประกอบด้วย 1.แนวทางที่จะปฏิบัติงานร่วมกันกับทั้งสองหน่วยงานคือ ดีเอสไอจะปฏิบัติตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และจะเสนอเรื่องให้ทางกระทรวงยุติธรรม เพื่อเสนอนายกรัฐมนตรีตามระเบียบราชการแผ่นดิน แต่งตั้งหน่วยงานร่วมเป็นคณะพนักงานสอบสวนด้วย 2.ได้มีการแชร์ข้อมูลกับทาง ก.ล.ต. เนื่องจากมีการแสวงหาพยานหลักฐานมากพอสมควรที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินคดี ทำให้ทราบข้อเท็จจริง ทราบพฤติการณ์ว่ามีกรณีใดบ้าง และทั้งสามหน่วยงานจะร่วมมือและบังคับใช้กฎหมายในทุกมิติ เพื่อนำตัวผู้กระทำความผิดและติดตามทรัพย์สินมาเยียวยาผู้เสียหายต่อไป

พ.ต.ต.ยุทธนา เผยอีกว่า นอกจากนี้ ดีเอสไอ ทราบตัวผู้กระทำผิดบ้างแล้ว แต่ยังขอไม่ขอเปิดเผย ซึ่งพฤติกรรมของผู้กระทำผิดมีมากกว่า 1 คน โดยประกอบไปด้วย กลุ่มผู้บริหาร-กรรมการบริษัท เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เราสามารถที่จะระบุตัวผู้ต้องหาในภายหน้าได้ เพียงแค่พยานหลักฐานที่จะใช้ดำเนินการแจ้งข้อหาแก่บุคคลเหล่านี้ ณ ขณะนี้ยังไปไม่ถึง ต้องขอใช้เวลาสักระยะก่อน ส่วนประเด็นเรื่องร่องรอยเบาะแสการเงิน ดีเอสไอเราพบบางส่วนเช่นเดียวกัน จึงขอเวลาในการทำงานสักระยะ เนื่องจากวันนี้เป็นเพียงการประชุมนัดแรก เพื่อกำหนดแนวทางการสอบสวน แต่ยืนยันว่าจะเร่งรัดดำเนินการให้เร็วที่สุดในทุกประเด็น

พ.ต.ต.ยุทธนา เผยด้วยว่า ที่ผ่านมา คณะทำงานได้มีการทยอยเรียกบุคคลมาสอบปากคำบ้างแล้ว 4 ราย ซึ่งเป็นกลุ่มพยานที่รับรู้พฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องของ ทั้ง 4 บริษัทสำคัญ และจากนี้ดีเอสไอจะมีการทยอยเรียกพยานบุคคลที่รับรู้เกี่ยวกับการจัดการเรื่องเงินเข้าให้ข้อมูลเพิ่มเติม โดยจะดำเนินการขนานไปกับการตรวจสอบเรื่องเส้นทางการเงิน อีกทั้งก่อนหน้านี้ได้มีกลุ่มผู้เสียหายเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษกับ 3 บุคคล ที่เชื่อได้ว่ามีส่วนร่วมในการกระทำความผิด ได้แก่ อดีตผู้บริหารบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่นจำกัด (มหาชน) 1 ราย ส่วนอีก 2 ราย เป็นลูกน้องของผู้บริหารรายนี้ แต่ขณะนี้ดีเอสไอยังอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน ก่อนเตรียมพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหาในภายหลัง

นายธวัชชัย รองเลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า เราเป็นหน่วยงานที่ดูเรื่องหลักทรัพย์ และจะทำตามอำนาจหน้าที่ ส่วนในการแสวงหาความร่วมมือในหน่วยงานต่างๆ นั้นมีความสำคัญ โดยเราได้ประสานกับทางดีเอสไอ และ ปอศ. เป็นระยะ ซึ่งก็พบว่ามีรูปธรรมมากขึ้น และภายหลังจากที่ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ ก็จะร่วมมือกันมากขึ้นเพื่อให้มีประสิทธิภาพ

ส่วนประเด็นเหตุการณ์การโกงหุ้น เกิดขึ้นได้อย่างไรนั้น นายธวัชชัย ระบุว่า เรื่องเกิดขึ้นจากการที่บริษัทไม่ได้ดำเนินการส่งงบในปี 2565 จนนำไปสู่เหตุการณ์ผิดนัดหุ้นกู้ที่บริษัทเสนอขาย จากนั้นเราได้ขอให้ทางบริษัทชี้แจงเปิดเผยและเมื่อมีการทำการสอบบัญชีเป็นกรณีพิเศษเพิ่มเติม จนบริษัทมีการส่งงบเมื่อวันที่ 16 มิ.ย. ที่ผ่านมา จึงเห็นข้อมูลผิดปกติหลายเรื่อง ตามที่ปรากฏ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังอยู่ในกระบวนการขยายผลตรวจสอบพยานหลักฐาน และเบื้องต้นพอทราบตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องบ้างแล้ว โดยกลุ่มบุคคลนี้รู้เรื่องว่ามีการแก้ไขงบการเงิน และตนก็เชื่อว่ามีการดำเนินการมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ส่วนข้อเท็จจริงอื่นๆ เพิ่มเติม ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ เพราะมีการแก้ไขงบการเงินในปี 64 ด้วย ซึ่งทั้งสามหน่วยงานจะขยายผล ดูให้ครบถ้วน ทั้งนี้ จำนวนผู้ถือหุ้นที่ได้รับความเสียหายมีจำนวนมาก โดยมีทั้งผู้ถือหุ้นและผู้ถือหุ้นกู้

นายธวัชชัย ยังกล่าวถึงมูลค่าความเสียหายว่า มูลค่าความเสียหายของหุ้นกู้ มีจำนวนหลายพันล้านบาท ขณะที่มูลค่าหุ้นของบริษัทพบว่าลดลง และหุ้นทุกวันนี้ก็เหลือเพียงหลักสตางค์ อีกทั้งในวันนี้ ก.ล.ต. ได้มอบข้อมูลสำคัญให้กับทางดีเอสไอแล้ว ส่วนโอกาสที่ผู้เสียหายจะได้รับเงินคืนนั้น คงต้องดูกันไปอีกระยะหนึ่ง เพราะเมื่อเช้าเราได้มีการแถลงข่าวแล้ว และในขั้นตอนนี้ เราจะต้องเน้นหลายๆ เรื่อง เพราะ ก.ล.ต. เองก็มีแนวทางสนับสนุนการเยียวยาผู้เสียหาย แต่ตอนนี้โฟกัสในส่วนที่ทำอย่างไรให้ผู้ลงทุนได้สิทธิในการเยียวยา

เมื่อถามว่าบริษัทนี้จงใจมีขึ้นมาเพื่อเข้ามากระทำผิดหรือไม่นั้น นายธวัชชัย ระบุว่า ในส่วนนี้คงต้องตรวจสอบกันต่อไป ส่วนจะมีการขึ้นแบล็กลิสต์แก่บุคคลที่กระทำความผิดหรือไม่ ก.ล.ต. เรามีกฎในส่วนนี้อยู่แล้ว ซึ่งจะต้องผ่านการตรวจสอบก่อน รวมถึงในเรื่องดำเนินการฟรีซเงินด้วย.