“บัตรเครดิต” ถือเป็นหนึ่งในไอเทมของใครหลายคนที่ต้องการลดการพึ่งพาเงินสด ไม่ต้องหาตู้กดเงินให้วุ่นวาย เพราะปัจจุบันตู้ ATM ก็ดูจะน้อยลงทุกที และการใช้โมบายแบงก์กิ้งบางทีก็ไม่สะดวก ติดขัดไปบ้างบางเวลา ทำให้หลายคนเลือกและชอบที่จะใช้บัตรเครดิตรูดซื้อสินค้าและบริการ หรือจ่ายค่าอาหารตามร้านอาหารมากกว่า

แต่การใช้บัตรเครดิตนั้นก็ต้องใช้อย่างระมัดระวังและรู้จักใช้ เพราะการรูดบัตรเครดิตหนึ่งครั้ง ก็เปรียบเสมือนเรานั้นมีหนี้ขึ้นแล้ว และควรจะใช้หนี้คืนตามกำหนดเวลา อย่าค้างให้เกิดดอกเบี้ย ทางที่ดีรูดใช้ไปเท่าไหร่ก็ควรจ่ายหนี้เต็มจำนวน จะได้ไม่เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง

มาดูกันว่าการใช้บัตรเครดิตอย่างถูกวิธี และอย่างปลอดภัยทำกันอย่างไร มีวิธีไหนบ้าง?

1.ตั้งรหัสผ่านให้เดายาก

การตั้งรหัสผ่านเป็นขั้นตอนการป้องกันบัตรเครดิต/เดบิตเบื้องต้น แนะนำว่าไม่ควรตั้งรหัสผ่านเป็นเลขซ้ำกัน เช่น 0000 1111 2222 เป็นต้น รวมไปถึงเลขที่เกี่ยวกับตัวเจ้าของบัตรจนทำให้คนร้ายเดาได้ง่าย (โดยเฉพาะคนร้ายที่เป็นคนใกล้ตัว) เช่น เลขวันเกิด เลขบัตรประชาชน เบอร์โทรศัพท์ เป็นต้น ที่สำคัญแนะนำว่าควรเปลี่ยนรหัสผ่านใหม่ทุก ๆ 3 เดือน และอย่าเผลอจดรหัสบัตรไว้บนซองหรือบนบัตรเด็ดขาด

2.ไม่ควรบอกหมายเลขบัตรเครดิตให้ผู้อื่นทราบ

ให้เลขบัตรเครดิตอันตรายไหม? คำตอบคือ “มีความเสี่ยง” โดยเฉพาะการให้เลขบัตรเครดิตทางโทรศัพท์มือถือที่ไม่มีการขอเอกสารยืนยันที่เป็นลายลักษณ์อักษร รวมไปถึงการบันทึกหมายเลขบัตรเครดิตกับช่องทางซื้อสินค้าออนไลน์ที่ไม่น่าเชื่อถือ เพราะอาจเป็นกลลวงของมิจฉาชีพได้

3.ไม่ให้บัตรเครดิตคลาดสายตา

ไม่ว่าจะเป็นการซื้อสินค้า ชำระค่าน้ำมัน ค่าตั๋วเครื่องบิน หรือค่าบริการใด ๆ แนะนำว่าหลังจากยื่นบัตรเครดิตให้พนักงานแล้ว ควรสังเกตบัตรเครดิตของตัวเองอยู่ตลอดเวลา เพราะเพียงไม่กี่นาทีที่คุณคลาดสายตา อาจกลายเป็นช่องโหว่ทำให้มิจฉาชีพฉกฉวยข้อมูลของคุณได้ง่าย ๆ

4.เปิดใช้งานการแจ้งเตือนการใช้บัตร

เพื่อเป็นการตรวจสอบการเคลื่อนไหว เมื่อมีการใช้งานบัตรเครดิต/เดบิตแบบเรียลไทม์ หากมียอดใช้จ่ายเงินแบบผิดปกติ จะได้ไหวตัวและแจ้งธนาคารเพื่อทำการอายัดบัตรได้ทันเวลา

5.ตรวจสอบยอดใช้จ่ายอยู่เสมอ

หมั่นตรวจสอบยอดใช้จ่ายเสมอว่าตรงกับสินค้าที่เราจ่ายไปจริง ๆ หรือไม่ โดยเช็กยอดจ่ายก่อนลงลายมือชื่อ หากมียอดเรียกเก็บไม่ตรงตามจำนวนที่ซื้อสินค้า จะได้แก้ไขได้ทันเวลา และที่สำคัญอย่าลืมเก็บเซลสลิปไว้ทุกครั้งเพื่อนำไปเทียบกับใบแจ้งยอดประจำเดือน

6.อย่าลืมปิดรหัส CVV หลังบัตร

รหัส CVV เป็นเลข 3 ตัวที่อยู่หลังบัตรเครดิต หากเลขดังกล่าวไปตกอยู่ในมือมิจฉาชีพอาจทำให้เสี่ยงต่อการถูกนำไปทำธุรกรรมผ่านช่องทางออนไลน์ ดังนั้นควรนำสติกเกอร์ปิดรหัสเอาไว้จะเพิ่มความอุ่นใจได้มากกว่า

7.เลือกใช้ Mobile Data แทน Wi-Fi เมื่อต้องทำธุรกรรมออนไลน์

เครือข่าย Wi-Fi โดยเฉพาะ Wi-Fi สาธารณะ อาจมีช่องโหว่ที่ทำให้โจรไซเบอร์เจาะเข้ามาถึงตัวอุปกรณ์ Wi-Fi และเข้าถึงอุปกรณ์ที่คุณใช้เชื่อมต่อ Wi-Fi ส่งผลทำให้อุปกรณ์ดังกล่าวมีโอกาสถูกแฮกได้ง่ายขึ้น ดังนั้นแนะนำว่าควรทำธุรกรรมผ่าน Mobile Data หรือ Wi-Fi ส่วนตัวที่ต้องใช้รหัสผ่านจะช่วยลดความเสี่ยงได้มากกว่า

8.ติดต่อธนาคารเจ้าของบัตรทันทีเมื่อพบความผิดปกติ

ไม่ว่าจะทำบัตรเครดิตหาย บัตรเครดิตถูกขโมย มียอดใช้จ่ายเกิน หรือมีความผิดปกติใด ๆ เกิดขึ้น เช่น ถูกแฮกบัตรเครดิต ควรรีบติดต่อธนาคารเพื่อให้ทางธนาคารตรวจสอบและอายัดบัตรให้เร็วที่สุด จากนั้นภายใน 72 ชั่วโมง ควรรีบแจ้งความที่สถานีตำรวจ เพื่อให้ธนาคารได้ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป และทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดตามและป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้

(ที่มา : KTC)