เมื่อวันที่ 19 ก.ค. นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ได้โพสต์ข้อความระบุว่า [ผลการลงมติในที่ประชุมรัฐสภาวันนี้ ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของตำแหน่งประธานรัฐสภา]

ผลจากการประชุมรัฐสภาวันนี้ คงได้เห็นความสำคัญของตำแหน่งประธานรัฐสภาในช่วงเวลาที่มาตรา 272 ยังคงอยู่กันแล้ว ผลการลงมติวันนี้ ไม่เพียงกระทบต่อการเลือกพิธาในรอบที่ 2 แต่ยังกระทบไปถึงการลงมติครั้งหน้า ในการเสนอชื่อแคนดิเดตจาก พท. ด้วย

ต่อไปนี้ สว. และ พันธมิตรสามพรรค “ภท./พปชร./รทสช.” มีอำนาจต่อรองกับ พท. ว่า หากครั้งหน้า เสนอชื่อแคนดิเดตจากพรรค พท. มาโดยที่ยังยึด “8 พรรค” และมี ก.ก. อยู่ พวกเขาก็จะไม่ลงคะแนนให้แคนดิเดตจาก พท. ทำให้ พท. และพันธมิตร “8 พรรค” อาจไม่กล้าเสี่ยงในการแบก ก.ก. ไว้อีกต่อไป เพราะ หากเสนอคนของ พท. แล้วไม่ผ่าน ก็อาจเป็นญัตติซ้ำ หรือจะเปลี่ยนเป็นคนอื่นจาก พท. อีก หากพวกเขารวมหัวกันคว่ำอีก ก็จะกลายเป็นญัตติซ้ำไปเรื่อยๆ จนแคนดิเดตหมดสต๊อก

หากเป็นเช่นนั้น “ประตู” ของ “ภท./พปชร./รทสช.” ก็เปิดกว้างขึ้น

หากปดิพัทธ์ สันติภาดา เป็นประธานรัฐสภา วันนี้ ผมมั่นใจว่า เขาจะกล้าใช้อำนาจประธานยืนยันว่า การเสนอชื่อนายกฯ ไม่ใช่ ญัตติ หรือ ต่อให้ลากไปเป็นญัตติซ้ำ แต่ก็มีข้อยกเว้นในข้อ 41 ตอนท้ายว่า “เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไป” ทำให้เสนอซ้ำได้