เมื่อวันที่ 20 ก.ค. ที่รัฐสภาในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง ทำหน้าที่ประธานในการประชุม ซึ่งได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบถึงคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ ที่สั่งให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) หยุดปฏิบัติหน้าที่ ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค. 66 จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยชี้ขาดในคดีที่ถูกตรวจสอบว่าขาดคุณสมบัติ กรณีถือครองหุ้นสื่อหรือไม่ ทำให้ขณะนี้มี สส. ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ จำนวน 499 คน

จากนั้นนายณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ลุกหารือต่อประชุมว่า นายพิธาประกาศต่อที่ประชุมรัฐสภา เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 66 ว่า รับทราบ แต่ไม่ยอมรับ ตนยืนยันว่าคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญที่อ้างรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นั้น ถือว่าไม่มีผลกระทบต่อการถูกเสนอชื่อฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคก้าวไกล ดังนั้นนายพิธา จึงมีสถานะครบถ้วนสมบูรณ์ทุกประการ ดังนั้นจึงมีโอกาส มีสิทธิ ถูกเสนอชื่อให้ต่อสู้ฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และลงมติเห็นชอบให้นายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรีได้

“การให้ความเห็นชอบประเด็นเสนอชื่อนายพิธาให้เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น หากให้ผมยืนยันอาจจะเร็วไป แต่สิ่งที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่พยายามจะพูดกับที่ประชุมรัฐสภา เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 66 แต่ไม่มีโอกาส คือ ข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ข้อ 41 วรรคท้าย กำหนดให้ประธานรัฐสภาพิจารณาต่อได้ หากมีสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นผมขอยืนยันความสมบูรณ์ครบถ้วนต่อสภาผู้แทนราษฎรว่า นายพิธาสามารถเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย คนไทยทุกคน ไม่เฉพาะคนที่เลือกพรรคก้าวไกลเท่านั้น” นายณัฐวุฒิ กล่าว

นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า จากกรณีของศาลรัฐธรรมนูญต่อกรณีของนายพิธานั้น ยังไม่มีคำวินิจฉัยชี้ขาดว่า นายพิธานั้นกระทำผิด หรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้นตามหลักการของกฎหมาย ถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ขณะเดียวศาลจะวินิจฉัยอย่างไร ไม่มีใครทราบ ซึ่งการเลือกนายกรัฐมนตรีนั้น รัฐธรรมนูญกำหนดให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 159 และมาตรา 272 ดังนั้นนายพิธา จึงมีสถานะและความสมบูรณ์ที่จะได้รับการเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อรัฐสภา.