เมื่อวันที่ 12 ก.ย. ที่รัฐสภา ในการประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อให้ ครม. แถลงนโยบายต่อรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 162 ในช่วงเย็น นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะเลขาธิการพรรคก้าวไกล อภิปรายถึง นโยบายพัฒนากองทัพว่า เป็นเรื่องน่ายินดี เรามี รมว.กลาโหม คนแรก ที่เป็นพลเรือนที่ ไม่ใช่นายกฯ เรากำลังเข้าสู่ยุคสมัยที่พลเรือนกำลังจะอยู่เหนือกองทัพใช่หรือไม่ หรือเอาเข้าจริงแล้ว การส่งพลเรือนมานั่งเป็นรมว.กลาโหมครั้งนี้ จะกลับกลายเป็นการส่งสัญญาณของจากรัฐบาลใหม่ว่า รัฐบาลพลเรือนชุดนี้ จะไม่ยุ่ง ไม่แตะกองทัพ นโยบายการทหาร ความมั่นคง จะคงอยู่ในมือกองทัพ รวมถึงเครือข่ายคณะรัฐประหารต่อไป

“พรรคแกนนำรัฐบาล มีนโยบายปฏิรูปกองทัพเป็นทหารอาชีพ ปรากฏว่า พอตอนแถลงนโยบายรัฐบาล ความมุ่งมั่นชัดเจนของแกนนำรัฐบาลหายไปไหน จากปฏิรูปกองทัพเพื่อป้องกันการก้าวก่ายแทรกแซงทางการเมือง และการบริหารราชการ เปลี่ยนเป็นร่วมกันพัฒนากองทัพเพื่อคุณภาพชีวิต ที่ดีของประชาชน ดูน่ารักนะครับ จากบอกว่า จะเสนอกฎหมายป้องกันและต่อต้านการรัฐประหาร หายไปเลย ไม่แม้แต่จะพูดถึงคำว่ารัฐประหารสักคำในการแถลงนโยบายของรัฐบาลพลเรือนครั้งแรก หลังการรัฐประหาร 2557 ทำไมหรือครับ คำว่ารัฐประหารนี่มันน่าแสลงใจมาก จนพูดถึงกันไม่ได้ หรือนายกฯเศรษฐา และรัฐบาลชุดนี้ เกรงใจพล.อ.ประยุทธ์ และคณะรัฐประหารมากขนาดนั้นเลยหรือ”นายชัยธวัช กล่าว

นายชัยธวัช กล่าวว่า ส่วนการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร คลุมเครือ เพราะการเลิก กับการลดการเกณฑ์ทหารมันต่างกัน ถ้านโยบายของรัฐบาลคือลดการเกณฑ์ทหารเท่านั้นมันจะมีอะไรใหม่ เพราะหลายปีมานี้กองทัพก็ดำเนินการอยู่แล้ว เมื่อวันที่31พ.ค.สภาฯกลาโหม ก็ประกาศแผนการปฏิรูปเนื้อหาสาระเดียวกัน แถมพล.อ.ประยุทธ์ ยังย้ำในที่ประชุมครั้งนั้นด้วยว่า นี่คือแผนของเราที่ทำอยู่แล้ว ไม่ได้เกี่ยวว่าใครจะมาหรือไป นายกฯ และรมว.กลาโหมได้ยินหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ มีแผนปฏิรูปตัวเองอยู่แล้ว คนอื่นไม่เกี่ยว แบบนี้รัฐบาลใหม่ จะให้นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ไปนั่งเป็นแค่โฆษกกองทัพหรือ นี่ยังไม่รวมถึงรมว.กลาโหม คนใหม่ จะปล่อยให้มีไอโอกองทัพอีกหรือไม่

นายชัยธวัช กล่าวว่า สรุปว่า เมื่อฟังคำแถลงอยากสรุปสั้นๆว่า นี่มันไม่ใช่นโยบายการพัฒนากองทัพร่วมกัน หรือไม่แม้แต่จะใช่เรื่องการปฏิรูปกองทัพ แต่นี่คือนโยบายเขตทหารห้ามเข้า นโยบายเกี่ยวกับกองทัพของรัฐบาลชุดนี้ ได้ส่งสัญญาณว่า การปฏิรูปโดยรัฐบาลพลเรือน จะไม่เกิดขึ้นนอกจากสิ่งที่กองทัพออกแบบมาและอนุญาตให้ทำ ตนฟังและอ่านคำแถลงหลายรอบ ตนเห็นว่า เราไม่ได้กำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนอย่างที่นายกฯแถลงไว้ แต่เรากำลังเข้าสู่รัฐบาลที่ไม่มีเจตจำนงในความเปลี่ยนแปลงหรือไม่ก็แย่กว่านั้น คือ ชวนให้คิดได้ว่าเอาเข้าจริงๆแล้วรัฐบาลเศรษฐา 1 ได้กลายเป็นส่วนต่อขยายของรัฐบาลประยุทธ์ เพื่อพยายายามหยุดยั้ง การเปลี่ยนผ่าน เหนี่ยวรั้งสังคมไทยให้อยู่กับระบบการเมืองแบบเดิม โครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมแบบเก่า และวัฒนธรรมแบบจารีตต่อไป

“นี่คือนโยบายของรัฐบาลที่เต็มไปด้วยความสยบยอม หรือไม่ก็สมยอมกัน เป็นการสามัคคีปรองดองกันระหว่างชนชั้นนำทางการเมือง ชนชั้นนำทางเศรษฐกิจ และชนชั้นนำทางจารีต เพื่อรักษาระบบเดิมเอาไว้ นั่นคือระบบที่อำนาจสูงสุดไม่ใช่ของประชาชน ทหารมีอำนาจเหนือสังคม รัฐราชการรวมศูนย์ กฎหมายเป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจ ความมั่นคงอยู่เหนือพลเรือน ทุนใหญ่มีอำนาจเหนือระบบเศรษฐกิจ”นายชัยธวัช กล่าว