วันที่ 20 ก.ย. น.ส.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า เงินบาทอ่อนค่าผ่านแนว 36.10 บาทต่อดอลลาร์ไปแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 10 เดือนที่ 36.19 บาทต่อดอลลาร์ ก่อนจะกลับมาปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 36.09-36.10 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงเช้าวันนี้ (09.15 น.) อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 35.95 บาทต่อดอลลาร์

เงินบาทยังคงเผชิญแรงกดดันด้านอ่อนค่าต่อเนื่องจากวานนี้ แต่ยังคงเป็นทิศทางที่สอดคล้องกับสกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเชีย ขณะที่เงินดอลลาร์ มีแรงหนุนเพิ่มเติมจากการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์สหรัฐ ก่อนการประชุมเฟด เนื่องจากตลาดกัลมาทยอยให้น้ำหนักกับความเป็นไปได้ที่เฟดจะส่งสัญญาณคุมเข้มต่อเนื่องหลังการประชุมรอบ 19-20 ก.ย. นี้ และอาจยืนอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับสูงเป็นเวลานาน

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 35.95-36.20 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สัญญาณฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ โดยเฉพาะในตลาดพันธบัตรไทยท่ามกลางความกังวลต่อแนวโน้มปริมาณพันธบัตรรัฐบาลที่อาจเพิ่มสูงขึ้นในปีงบประมาณหน้า สถานการณ์ค่าเงินหยวน (หลังจากที่ PBOC คงอัตราดอกเบี้ย LPR ไว้ที่ระดับเดิมตามที่ตลาดคาด) รวมถึงไฮไลท์สำคัญในคืนนี้จากผลการประชุมและ dot plot ของเฟด

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทผันผวนอ่อนค่าลง (แกว่งตัวในช่วง 35.92-36.08 บาทต่อดอลลาร์) ตามจังหวะการปรับตัวขึ้นของทั้งบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐ และเงินดอลลาร์ อย่างไรก็ดี การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐ และเงินดอลลาร์ก็เป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นผลการประชุม FOMC ในช่วงเช้าตรู่ของวันพฤหัสฯ นี้ ตามเวลาในประเทศไทย

ตลาดหุ้นสหรัฐ ยังคงเผชิญแรงขายเพื่อลดความเสี่ยงของบรรดาผู้เล่นตลาด ก่อนที่จะถึงการประชุม FOMC ของเฟด นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐ ยังส่งผลให้บรรดาหุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ต่างปรับตัวลง หรือ ทรงตัว (Amazon -1.7%, Microsoft -0.1%) ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาดลดลง -0.22%

ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 ย่อตัวลงเล็กน้อย -0.04% กดดันโดยการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม (Hermes -1.5%, Dior -1.2%) เนื่องจากผู้เล่นบางส่วนยังไม่มั่นใจต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ขณะเดียวกันเศรษฐกิจยุโรปก็มีแนวโน้มชะลอตัวลงมากขึ้น อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน (Total Energies +1.7%, Shell +0.9%) ตามการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบ

ในฝั่งตลาดบอนด์ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มคาดการณ์ว่า Dot Plot ใหม่ของเฟดอาจยังคงสะท้อนว่า เฟดอาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อได้อีก 1 ครั้งในปีนี้ และเฟดอาจลดดอกเบี้ยลงไม่ได้มากเท่ากับที่เฟดเคยประเมินใน Dot Plot ก่อนหน้า ได้ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐ ทยอยปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.37% (ซึ่งเปิดโอกาสให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐ ปรับตัวขึ้นทดสอบโซน 4.40%) ทั้งนี้ เรายังคงมองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐ อาจยังคงแกว่งตัว sideway และควรรอจับตา Dot Plot ใหม่ของเฟดซึ่งอาจส่งผลต่อทิศทางบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐ ได้ (ปรับตัวขึ้นต่อ หรือ พลิกกลับมาย่อตัวลง)

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยปรับตัวแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐ และภาวะปิดรับความเสี่ยงในตลาดการเงินโดยรวมที่ยังหนุนการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 105.1 จุด (กรอบ 104.8-105.2 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ การพลิกกลับมาปรับตัวขึ้นของทั้งบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐ และเงินดอลลาร์ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นต่อเนื่องได้ ก่อนที่จะย่อตัวลงใกล้ระดับ 1,952 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจรอจับตาผลการประชุม FOMC ก่อนที่จะมีการปรับเปลี่ยนสถานะถือครองที่ชัดเจนต่อไป

สำหรับวันนี้ ก่อนที่ผู้เล่นในตลาดจะรับรู้ผลการประชุม FOMC ในช่วงเช้าตรู่ของวันพฤหัสฯ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะให้ความสนใจต่อรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของอังกฤษ รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของทั้ง ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และ ECB ซึ่งปัจจุบันผู้เล่นในตลาดต่างเริ่มคาดการณ์ว่า ทั้งสองธนาคารกลางอาจใกล้ถึงจุดยุติการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยแล้ว หลังเศรษฐกิจชะลอตัวลงมากขึ้น

ส่วนไฮไลต์สำคัญที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด คือ ผลการประชุม FOMC ซึ่งจะรับรู้ในช่วงเวลา 01.00 น. ตามเวลาในประเทศไทยของเช้าตรู่วันพฤหัสฯ โดยเราประเมินว่า เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 5.25-5.50% อย่างไรก็ดี ตลาดการเงินจะผันผวนไปตาม การปรับคาดการณ์เศรษฐกิจ และคาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) โดยเรามองว่า แนวโน้มการชะลอตัวลงต่อเนื่องของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอาจทำให้เฟดปรับลดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core PCE ลงบ้างในปีนี้และปีหน้า

แต่การปรับตัวขึ้นของราคาพลังงานในช่วงที่ผ่านมาอาจทำให้เฟดคงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไป หรือ ปรับขึ้นเล็กน้อยในปีนี้ ขณะเดียวกัน รายงานข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดที่ยังคงสะท้อนภาพเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งกว่าคาด อาจทำให้เฟดไม่ได้ปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ เราประเมินว่า ในส่วนของ Dot Plot ใหม่ อาจสะท้อนว่า เฟดได้จบรอบการขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว ตามแนวโน้มการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในส่วนการจ้างงาน ซึ่งล่าสุดอาจได้รับผลกระทบจากการหยุดงานประท้วงของสหภาพแรงงานยานยนต์ (United Auto Workers:UAW) อีกทั้งยังมีความเสี่ยงที่รัฐบาลสหรัฐ อาจเผชิญภาวะ Government Shutdown ในช่วงปลายปีได้

ทั้งนี้ เราไม่ปิดโอกาสที่ Dot Plot ใหม่จะยังคงชี้ว่า เฟดมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยต่อได้ 1 ครั้งในปีนี้ ซึ่งจะไม่ต่างจาก Dot Plot ก่อนหน้า เนื่องจากการประท้วงของ UAW หากประสบความสำเร็จก็อาจยิ่งทำให้อัตราเงินเฟ้อชะลอลงช้า ตามการปรับเพิ่มขึ้นค่าแรง โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาพลังงานก็มีแนวโน้มปรับตัวขึ้น อนึ่ง เรามองว่า หาก Dot Plot ใหม่ ไม่ได้ชี้ว่า เฟดพร้อมขึ้นดอกเบี้ยมากกว่า 1 ครั้ง ในปีนี้ และลดดอกเบี้ยลง -1% ตามที่ประเมินไว้ใน Dot Plot ครั้งก่อน เงินดอลลาร์ก็อาจไม่ได้แข็งค่าขึ้นมากนักหรืออาจทรงตัว sideway

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า การอ่อนค่าของเงินบาทในวันก่อนหน้า เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของเราไปมาก โดยเงินบาทอ่อนค่าหนักกว่าสกุลเงินเอเชียอย่างเห็นได้ชัด สะท้อนว่า การอ่อนค่าของเงินบาทอาจมาจากปัจจัยภายในประเทศ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากแรงขายสินทรัพย์ไทยของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะบอนด์ หลังนักลงทุนต่างชาติต่างไม่มั่นใจต่อแนวโน้มปริมาณการออกบอนด์ของรัฐบาล

นอกจากนี้ แรงขายเงินดอลลาร์จากฝั่งผู้ส่งออกได้ชะลอลงไปมาก เนื่องจากผู้ส่งออกส่วนใหญ่อาจทยอยขายเงินดอลลาร์ไปพอสมควรแล้วในช่วงก่อนหน้า ทำให้การอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 35.85 บาทต่อดอลลาร์ เปิดทางให้เงินบาทอ่อนค่าทดสอบ 36.00 บาทต่อดอลลาร์ได้ไม่ยาก

ทั้งนี้ เรายอมรับว่า การอ่อนค่าของเงินบาทที่มากกว่าคาดนั้น ได้เปิดโอกาสให้เงินบาทสามารถอ่อนค่าต่อทดสอบโซนแนวต้านถัดไปแถว 36.30 บาทต่อดอลลาร์ได้เช่นกัน ซึ่งต้องจับตาทิศทางฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติว่าจะเดินหน้าเทขายสินทรัพย์ไทยเพิ่มขึ้นหรือไม่ โดยเฉพาะในส่วนบอนด์ หลังบอนด์ยีลด์ฝั่งสหรัฐ ยังคงปรับตัวสูงขึ้น

อย่างไรก็ดี เรามองว่า เงินบาทอาจไม่ได้อ่อนค่าต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผู้เล่นส่วนใหญ่ต่างรอลุ้น ผลการประชุม FOMC ในช่วงเช้าตรู่ของวันพรุ่งนี้ โดยเราประเมินว่า เงินดอลลาร์มีโอกาสแข็งค่าขึ้นต่อได้บ้าง หาก Dot Plot ใหม่ ชี้ว่าเฟดมีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่ออีก 1 ครั้งในปีนี้ และเฟดอาจไม่ได้ลดดอกเบี้ยลงเกินกว่า -1% ในปีหน้า ตามที่เคยประเมินไว้ใน Dot Plot เดือนมิถุนายน ซึ่งภาพดังกล่าวอาจหนุนให้เงินบาททยอยอ่อนค่าทดสอบโซน 36.30 บาทต่อดอลลาร์ได้

ขณะที่ หาก Dot Plot ใหม่ ไม่ได้ชี้ว่า เฟดพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ หรือ สะท้อนว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยลงราว -1% (หรือมากกว่านั้น) ในปีหน้า เราคาดว่า เงินดอลลาร์อาจย่อตัวลงบ้าง หนุนให้เงินบาทมีโอกาสกลับมาแข็งค่าหลุดระดับ 36.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้เช่นกัน