จากกรณีที่ ปิยบุตร แสงกนกกุล อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อและเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ประกาศขอยุติคอมเมนต์การเมือง ขอกลับไปเป็นอาจารย์-เขียนตำราที่ค้างอยู่ ภายหลังจากที่ถูกคอมเมนต์ถล่ม เหตุโพสต์กดดันก้าวไกล ออกมาเคลื่อนไหวภายหลังจากที่ “ช่อ-พรรณิการ์ วานิช” อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคอนาคตใหม่ ถูกถอนสิทธิรับสมัครเลือกตั้งตลอดไปนั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 24 ก.ย. นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว แสดงความเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ระบุว่า “ถึง อ.ปิยบุตร” ผมอ่านข่าว ทำนองว่า อ.ปิยบุตร แสงกนกกุล จะไม่วิจารณ์การเมืองอีกแล้ว แต่จะไปเขียนหนังสือและทำงานวิชาการที่ถนัด

“ผมเสียดาย! แม้บางเรื่องผมกับท่านมีความเห็นไม่ตรงกัน แต่ความเห็นหลายเรื่องของท่านน่าสนใจ” ผมเห็นคนเข้าไปแสดงความเห็นในเฟซบุ๊กของ อ.ปิยบุตร เห็นแล้วผมก็ตกใจ และผมก็เริ่มไม่เข้าใจประชาชนที่วิจารณ์ท่านเหมือนกัน นานมาแล้ว ตอนท่านเข้าการเมืองใหม่ๆ ผมเคย debate กับท่าน สัญชาติญาณบอกผมว่า ท่านคือดาวรุ่ง ดวงใหม่ของการเมืองไทย

“ในฐานะที่ผมผ่านการเมืองมาก่อนท่านอย่างยาวนาน ผมจึงน่าจะรู้จักโลกที่เป็นจริง และโลกเสมือนจริงมากกว่าท่าน ผมยังแอบหวั่นว่าท่านจะเดินไปไม่ถึงปลายทาง สุดท้ายสิ่งที่ผมหวั่นก็เป็นจริงไ อย่างที่ผมเคยเขียนหลายครั้งว่า อุดมการณ์เมื่อมันเดินมาถึงปลายทาง บางครั้ง มันก็เหลือเพียงแต่ซาก ผมผ่านการเมืองยุคสงครามเย็นมา มีคำเปรียบเทียบว่า “แม้เราไม่ใช่ชอบคอมมิวนิสต์ แต่เราก็ไม่เป็นศัตรูกับคนที่เป็นคอมมิวนิสต์” เราเห็นต่างกันบางเรื่องเท่านั้น แต่เราไม่ใช่ศัตรูกันอย่างแน่นอน ผมกวาดหนังสือ”การปฏิวัติฝรั่งเศส” มาอ่านทุกเล่ม ทั้งที่เป็นภาษาไทย และที่เป็นภาษาฝรั่งเศสให้เขาอ่านและแปลให้ฟัง เพื่อจะมาโต้แย้งกับท่าน เมื่อท่านไม่แสดงความเห็นทางการเมือง ผมคืนหนังสือนั้นไปหมดแล้ว

ผมอยากจะกล่าวว่า สังคมไหนที่ไม่ปกป้องคนที่เห็นต่าง แน่นอนว่า สังคมนั้นคือสังคมเผด็จการ คนไทยสูญเสียความสามารถในการรับฟังซึ่งกันและกันไปอย่างสิ้นเชิง ประชาธิปไตยที่อาจารย์หวังจึงเหี่ยวเฉาก่อนที่จะเบิกบาน เราสร้างสังคมให้อยู่ในกลุ่มปิด ที่สื่อสาร และรับฟังกันเฉพาะคนในกลุ่มเดียวกัน ตามความเห็นของแคสส์ ซันสไตน์ แห่งม.ฮาร์วาร์ด ที่เรียกว่า “ห้องแห่งเสียงสะท้อน”(echo chamber)

ผมตระหนักถึงเรื่องนี้ ผมจึงเดินออกจากประชาธิปไตย(เพียวๆ) มาสมาทานเป็นนัก “เสรีนิยมประชาธิปไตย” ไม่ยุ่งกับสังคมที่เป็นอยู่ใน“ห้องแห่งเสียงสะท้อน” ผมจึงไม่ยุ่งกับรัฐ และรัฐก็อย่ามายุ่งกับผม ใครจะเห็นด้วย หรือ ไม่เห็นด้วยกับผมก็ตามสบายเถิด เพราะผมไม่ใช่นักประชาธิปไตย ที่แออัดกันอยู่ในห้องแห่งเสียงสะท้อน (echo chamber)

“ผมเพียงเห็นว่า สังคมนี้ ควรจะมี อ.ปิยบุตร แสงกนกกุล โลดเล่นให้ความเห็นในวงการเมือง ถ้าทบทวนได้ผมอยากให้อาจารย์ทบทวน เพราะถ้าอาจารย์หยุด ผมก็คงเฉาเพราะไม่รู้จะเถียงกับใครเพื่อให้เกิดปัญญา ผมไม่ใช่ด้อมส้ม”..

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก @นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ