เมื่อเวลา 09.20 น. (ตามเวลาท้องถิ่นสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง) วันที่ 19 ต.ค. ที่ห้องแกรนด์บอลรูม 2-3 โรงแรมเคอร์รี่ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวปาฐกถาในงานสัมมนา Thailand-China Investment Forum

โดยนายกฯ กล่าวแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่สยามพารากอน เป็นกำลังใจให้ครอบครัวและยืนยัน รัฐบาลพยายามทำทุกอย่างเพื่อความสะดวกสบายใจของนักท่องเที่ยวจีน ในการเดินทางมาท่องเที่ยวและเดินทางกลับบ้านได้อย่างมีความสุข ให้ไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่ปลอดภัยเพื่อนักท่องเที่ยวทุกคน โดยยินดีและขอบคุณสำหรับการต้อนรับอย่างอบอุ่น ชื่นชมความสัมพันธ์ไทย-จีน ที่ราบรื่น ยาวนาน ทุกด้าน โดยในปี ค.ศ. 2023 นี้ จะครบรอบ 48 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต และเมื่อปี ค.ศ. 2022 ไทยและจีน เพิ่งครบรอบ 10 ปี ความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์รอบด้าน ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ลงนามและประกาศใช้แผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ไทย-จีน ฉบับที่ 4 (ปี ค.ศ. 2022-2026) และแผนความร่วมมือระหว่างไทย-จีน ว่าด้วยการร่วมกันส่งเสริมเส้นทางเศรษฐกิจสายไหมและเส้นทางสายไหมทางทะเลแห่งศตวรรษที่ 21 อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ 

นายกฯ กล่าวต่อว่า สำหรับการเยือนครั้งนี้ มีจุดประสงค์เพื่อเข้าร่วมการประชุม Belt and Road Forum for International Cooperation (BRF) ครั้งที่ 3 ซึ่งข้อริเริ่ม Belt and Road Initiative (BRI) เป็นนโยบายที่ก่อให้เกิดความร่วมมือในหลากหลายมิติ โดยไทยในฐานะศูนย์กลางอาเซียน สามารถเชื่อมต่อเส้นทางภายใต้ BRI ทั้งทางบกและทางทะเล พร้อมส่งเสริมความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไทย-จีน นอกจากนี้ รัฐบาลมีแผนจะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งอย่างเต็มรูปแบบ

นายกฯ กล่าวอีกว่า ด้านเศรษฐกิจของไทย รัฐบาลมีนโยบายยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยว (วีซ่าฟรี) ซึ่งคาดว่าจะทำให้จีดีพีของไทยในปี 2024 ขยายตัวได้สูงกว่าปีที่ผ่าน ๆ มา โดยจีนถือเป็นคู่ค้ารายใหญ่และผู้ลงทุนอันดับหนึ่งของไทย ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การค้าไทย-จีน จะขยายตัวมากยิ่งขึ้น และอยากให้จีนซื้อสินค้าจากประเทศไทยมากขึ้น รวมถึงการลงทุนในกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) รัฐบาลพร้อมสนับสนุนผู้ลงทุนจากจีน ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย และรัฐบาลพร้อมอำนวยความสะดวกและดูแลนักลงทุนจีน

นายกฯ กล่าวด้วยว่า รัฐบาลยังมีนโยบายสนับสนุนการสร้างพลังสร้างสรรค์ หรือ ซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทยสู่ระดับสากล นอกจากนี้ รัฐบาลมีแผนเสริมสร้างสังคมดิจิทัล โดยนำเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์มาช่วยในการทำงาน ควบคู่ไปกับการสร้างเศรษฐกิจสีเขียว เพื่อตอบสนองความต้องการทรัพยากรบุคคล และแรงงานทั้งในภาคการผลิต การบริการ และการพัฒนาเทคโนโลยี

อย่างไรก็ตาม หวังว่างานสัมมนาในวันนี้จะช่วยเชื่อมโยง กระตุ้นโอกาสด้านการค้าการลงทุน และสร้างพันธมิตรทางธุรกิจระหว่างไทยและจีนมากขึ้น และยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศ และประเทศไทยมีโครงการแลนด์บริดจ์ จึงเชิญชวนนักลงทุนจีนร่วมลงทุนในโครงการนี้ ขอร่วมเดินทางกับจีนในเส้นทางธุรกิจที่ท้าทาย เพื่อความรุ่งเรืองร่วมกัน

“วันนี้ผมขอเชิญนักลงทุนจากประเทศจีนเข้ามาดูโปรเจกต์นี้ มาร่วมกันพัฒนาและพูดคุย เพื่อที่จะทำให้โครงการนี้สำเร็จสัมฤทธิผลโดยเร็วที่สุด วันนี้ประเทศไทยภายใต้การนำของรัฐบาลนี้ เปิดกว้างสำหรับการลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนจากจีน ซึ่งถือเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุด จะไม่ใช่เป็นแค่วาทกรรมเฉยๆ ที่สัญญาว่าจะทำให้การทำธุรกิจง่ายขึ้น แต่จะเป็นการทำให้มันง่ายขึ้นจริงๆ ผมเชื่อมั่นว่าหลายท่านที่อยู่ในที่ประชุมแห่งนี้มีเชื้อสายจีน รวมถึงตัวผมเองกว่าครึ่งหนึ่ง เราเป็นพี่น้องกัน เรามาทำค้าขายกัน เรามีมิตรไมตรีที่ดีให้ต่อกันมาโดยตลอด ประเทศไทยแม้เป็นประเทศที่เล็ก แต่มีศักยภาพสูง เราเป็นน้องคนหนึ่งของประเทศจีน ซึ่งจะช่วยกันเดินไปข้างหน้าควบคู่ไปกับพี่ใหญ่ เราขอร่วมเดินทางไปกับประเทศจีน บนเส้นทางที่ท้าทาย และทำให้โลกของเราเจริญรุ่งเรืองต่อไป” นายกฯ กล่าว.