เมื่อวันที่ 9 ก.พ. รายการโหนกระแสวันนี้ พูดคุยกรณี หญิงคนหนึ่ง ชื่อ “กุ๊ก” เป็นอาสากู้ภัย ติดต่อไปที่ ทนายไพศาล เรืองฤทธิ์ บอกว่าเป็นคนที่อยู่กับพรในวันที่พบศพใหม่ และบอกว่าตนมีจุดสังเกตพิรุธหลายอย่าง ที่จับได้ว่า พรน่าจะโกหกหลายๆ เรื่อง จึงขอมาไล่เรียงข้อเท็จจริงให้ฟัง

คุณกุ๊ก เล่าว่า จุดที่สงสัย พรเห็นศพ ก็มั่นใจทันทีว่าเป็นสามีตัวเอง ทั้งที่ผ้ายังคลุมศพอยู่ด้วยซ้ำ มั่นใจมากจนดูผิดปกติ เขาบอกว่าจำรองเท้าได้ จำพวงกุญแจได้ ซึ่งทุกคนลงความเห็นว่า รองเท้าแบบนี้ก็มีขายทั่วไป กุญแจก็ยี่ห้อทั่วไป พรเขามายืนยันเลยว่า แฟนตัวเอง 100 เปอร์เซ็นต์ เขาบอกว่าเขาเห็นภาพจากในเพจข่าวของจังหวัด

พรเขาพูดว่า “เห็นรอยสักที่หลังหนูก็จำได้” ซึ่งประโยคนี้ตีความได้หลายอย่าง อาจจะหมายถึง “ถ้าได้เห็นศพ แล้วมีรอยสัก ตนจำได้แน่นอน” หรืออาจจะหมายความว่า “เห็นรอยสักที่หลังแล้ว จำได้ว่านี่สามีตนแน่นอน” ซึ่งในข้อเท็จจริงตอนที่พรพูด พรยังไม่ได้เห็นศพ เพราะมีผ้าคลุมอยู่ ต้องดูบริบทว่าเขาหมายความว่าอย่างไรกันแน่

ตอนที่พรไปดูศพ เขาขอเข้าไปดูศพ เราบอกว่ายังเข้าไม่ได้เพราะต้องรอชุดพิสูจน์หลักฐานมาก่อน ถึงจะเข้าไปยุ่งกับศพได้ โดยระหว่างที่รอพิสูจน์หลักฐาน พนักงานสอบสวนมาสอบปากคำพรก่อนเป็นครั้งแรก พรให้การกับพนักงานสอบสวน ถึงนิสัยใจคอของใหม่ เป็นคนใจเย็น เป็นคนไม่มีศัตรู ไม่เล่นการพนัน ตำรวจถามว่า ตอนที่ใหม่หายไปจากบ้านได้ไปแจ้งความไว้ไหม พรตอบด้วยน้ำเสียงเหวี่ยงๆ ว่า “ก็รอให้ครบ 24 ชั่วโมงไง”

ตำรวจถามว่ารู้ตอนไหนว่าใหม่หายไป พรบอกว่า เที่ยงคืนเศษๆ เพื่อนที่ทำงานของใหม่ทักแชตมาถาม ว่าใหม่ไม่มาทำงานเหรอ? ซึ่งเรื่องนี้ วันที่พรมาออกโหนกระแส พรไม่ได้เล่าแบบนี้ พรเล่าว่า ใหม่ออกจากบ้านตอน 22.06 น. ที่จำเวลาได้เพราะตื่นมาเข้าห้องน้ำตอนใหม่จะออกจากบ้านพอดี แล้วไปนอนต่อ ตื่นมา 02.40 น. เราส่งไลน์ไปหาเขาว่านอนไอ เจ็บซี่โครง เขาไม่ตอบ เราก็เลยโทรฯ ไปหาใหม่เขาก็ไม่รับ ซึ่งเมื่อย้อนฟังคำบอกเล่าของพรในรายการ ไม่มีเรื่องที่เพื่อนทักแชตมาเลย

แต่ข้อเท็จจริงที่เปิดเผยออกมาทีหลัง คือ เวลาประมาณเที่ยงคืน พรอยู่กับเอกชัยในบ้าน เพราะเอกชัยมาหาพรตอน 22.40 น. แล้วอยู่ในบ้านประมาณ 2 ชั่วโมง

กุ๊ก ยังบอกอีกว่า ได้เจอกิตในวันนั้น เห็นว่ากิตมากับพร เราคุยกันกับทีมกู้ภัยเรื่องคดี ว่ามันน่าจะเป็นการฆาตกรรม อาจจะเป็นเรื่องเงินอะไรต่างๆ นานา เหมือนกิตเขายืนอยู่ใกล้ๆ แววตาแข็งๆ แบบแปลกๆ ไม่ได้ดูเป็นแววตาก้าวร้าว แต่สายตาเขาจ้องเขม็งเหมือนหมาป่า

ขณะที่แอดมินเพจ คนข่าวบางปะกง โฟนอินเข้ามา ให้ข้อมูลว่า เท่าที่ติดตามเรื่องนี้มาจนถึงตอนนี้ ต้องให้ความเป็นธรรมกับพรว่า เขายังไม่ใช่ผู้ต้องหา หลักฐานอะไรต่างๆ มันไปไม่ถึงเขา แต่ในเรื่องของศีลธรรมอะไรต่างๆ นานา ในมุมของสังคม มันเป็นอีกเรื่อง สังคมคงได้ตัดสินเขาในเรื่องศีลธรรมไปแล้ว

ส่วนเรื่องเชือกที่มัดมือมัดเท้าใหม่ แอดมินบอกว่ามัดแน่นมาก เงื่อนที่มัดแน่นสุดๆ มัดหลายทบ ตนมั่นใจว่าใหม่น่าจะถูกมัดก่อนแล้วค่อยยิง แต่ทางกุ๊กตั้งข้อสังเกตว่า ที่ข้อมือข้อเท้ามันไม่มีบาดแผลจากการดิ้นเลย จึงอาจทำให้มองได้ว่า ใหม่ถูกยิงก่อนแล้วมามัดมือเท้า เพื่ออำพรางศพทีหลังหรือไม่

ขณะที่ รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล รองอธิการบดี และประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยา และการบริหารงานยุติธรรม ม.รังสิต มองว่า ประเด็นที่ตนค้างคาใจว่า ถ้าช่างกิตก่อเหตุกับใหม่เพราะโกรธแค้น ก็ต้องถามว่า ทำไมช่างกิตไม่ทำร้ายพร ในเมื่อพรโกหกช่างกิตมากมายหลายเรื่อง ทั้งเรื่องท้อง เรื่องอยู่อาศัยกับพ่อ อะไรต่างๆ นานา เรื่องนี้ทำไมกิตถึงไม่โกรธ ไม่ทำร้ายพร

รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ ยกตัวอย่างเปรียบเทียบเรื่องการเลี้ยงสุนัข สมมุติเราเลี้ยงสุนัขไว้สองตัว ตัวหนึ่งดุร้าย ญาติพี่น้องเข้ามาก็จะกัดตลอด ต้องผูกไว้ อีกตัวเชื่อง ใครมาก็จะเล่นกับเขา คนเลี้ยงต้องรู้นิสัยสุนัขอยู่แล้ว ตัวนี้ปล่อยไม่ได้ ต้องผูก ถ้าเราไม่ชอบใครสักคนที่มาบ้านเรา เราอาจจะปล่อยสุนัขตัวที่ดุได้ไหม

อย่างบางกรณี ถ้าเขาเพิ่มความกดดันไปเรื่อยๆ โดยที่รู้อยู่แล้วว่ากิตเป็นคนอารมณ์รุนแรง มีปืน ถ้าสมมุติพูดว่า หนูท้องกับพี่ หนูอยากเลิก แต่เลิกไม่ได้ เขาไม่ยอมเลิก เป็นไปได้ไหมว่ากิตอาจจะไปลงมือทำอะไรบางอย่าง อันนี้เป็นแค่การสมมุติ ไม่ได้เชื่อมโยงอย่างไร

ขณะที่ ทนายไพศาล มองว่า เรื่องนี้ต้องพูดอย่างให้ความเป็นธรรม ว่าถ้าหลักฐานมันไปไม่ถึง กฎหมายมันชี้ว่า ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว ถ้าเขาไม่ผิด ก็คือไม่ผิด เรื่องผิดศีลธรรมอะไรก็ให้สังคมพิพากษาในทางสังคมไป แต่สำหรับตนมองว่า ตำรวจชุดทำคดีเก่งมากๆ เขาพยายามหาความเชื่อมโยงต่างๆ แต่เมื่อมันไม่ใช่ ก็คือไม่ใช่