สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล เมื่อวันที่ 9 พ.ย. ว่า พล.ร.ต.ดาเนียล ฮาการี โฆษกกองทัพอิสราเอล กล่าวว่า เฉพาะเมื่อวันพุธที่ผ่านมา มีประชาชนมากกว่า 50,000 คน อพยพจากภาคเหนือของฉนวนกาซา ลงไปยังภาคใต้ของพื้นที่ ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการสะท้อนว่า ประชาชนกลุ่มนี้ปฏิบัติตามและเชื่อมั่นในคำสั่งของอิสราเอล ว่าพื้นที่ทางตอนใต้ของฉนวนกาซา “มีความปลอดภัยมากกว่า” แต่ยังบ่งชี้ “ความเสื่อมถอยด้านอิทธิพล” ของกลุ่มฮามาสด้วย


อย่างไรก็ตาม นายโฟลเคอร์ เติร์ก ข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็น) กล่าวว่า อิสราเอลใช้วิธีการ “บีบบังคับ” ให้ประชาชนต้องอพยพ และประณามว่า “การลงโทษแบบเหมารวม” ถือเป็นอาชญากรรมสงคราม


ขณะเดียวกัน พล.ร.ต.ฮาการี กล่าวว่า ปฏิบัติการภาคพื้นดินในฉนวนกาซา ซึ่งมีการขยายขอบเขตตั้งแต่ปลายเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา สามารถทำลายอุโมงค์ได้มากกว่า 130 แห่ง และกล่าวด้วยว่า โครงสร้างอุโมงค์ส่วนใหญ่อยู่ใกล้กับโรงเรียน และโรงพยาบาล พร้อมทั้งยืนยันว่า ทหารอิสราเอลพร้อมปฏิบัติการในอุโมงค์ “หากมีความจำเป็น”


ทั้งนี้ อิสราเอลเชื่อมั่นว่า ภาคเหนือของฉนวนกาซา เป็นฐานที่มั่นของกลุ่มฮามาส ซึ่งมีโครงสร้างอุโมงค์โยงใยทั่วพื้นที่ และอยู่ใต้โรงพยาบาลทุกแห่งด้วย กระนั้น กลุ่มฮามาสยืนกรานปฏิเสธ และกล่าวหาอิสราเอลใช้เรื่องนี้ “เป็นข้ออ้าง” เพื่อทำลายระบบโครงสร้างพื้นฐานทางสาธารณสุขของฉนวนกาซาเท่านั้น.

เครดิตภาพ : AFP