เมื่อวันที่ 17 พ.ย.นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกกต.ได้โพสต์ข้อความระบุว่า การที่ รมช.คลัง และทีมเศรษฐกิจเพื่อไทย ชี้แจงว่า จะทยอยให้ร้านค้าแลกคืนเงินดิจิทัล เป็นเงินสด เป็นรอบ ๆ โดยแบ่งเป็น 3 ปี ถึงปี 2570 ต้องชมว่า เป็นวิธีการคิดแบบธุรกิจที่แยบยลและเป็นผลดีต่อฐานะการเงินการคลังของประเทศ  เพราะแม้รัฐบาลจะมี พ.ร.บ.เงินกู้ที่ผ่านสภา  แต่เรื่องอะไรต้องรีบกู้ทั้งก้อนให้เสียดอกเบี้ยเป็นหลายหมื่นล้าน  สู้ล็อกตัวเลขให้แลกคืนปีละ 100,000 – 200,000 ล้าน แล้วทยอยกู้ไม่ต้องแบกดอกไม่ดีกว่าหรือ

รอบใช้จ่ายแรกของประชาชน 6 เดือน กว่าที่ร้านค้าในระบบภาษีจะรวบรวมเงินมาแลกก็น่าจะเป็นต้นปี 2568  และหากกำหนดโควต้าให้แลกปีละเท่าโน้นเท่านี้  ตั้งงบประมาณแต่ละปีมาใช้คืนสบายมาก

แต่ในมุมของคนรับผิดชอบการเงินของประเทศ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ดูแล พ.ร.บ.เงินตรา อาจคิดต่างว่า เมื่อคุณจะแจกเงิน คุณต้องมีเงินจริงอยู่เท่าที่คุณแจก ไม่ใช่เงินในอากาศแล้วมากู้ภายหลัง

เช่นเดียวกับที่ฝันว่า ร้านค้าจะทยอยมาแลกคืนใช้เวลาถึง 3 ปี  แต่ถ้าเขามองว่าเงินดิจิทัล เป็นเงินชั้นสอง  มีสถานะต่ำกว่า เงินบาทจริง  เพราะชำระหนี้ได้เพียงบางประเภท  ใครเล่าเขาอยากจะถือ

เมื่อทุกคนปรารถนาแลกคืนพร้อมกันในปีแรกพร้อม ๆ กัน แล้วรัฐบาลไม่มีเงินบาทจริงมารองรับ  จินตนาการภาพพายุหมุนแบบทำลายล้างรุนแรงได้เลย