เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.นครนายก และนายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความ ได้ร่วมยื่นคำร้องต่อ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อขอให้ไต่สวนในคดีที่ศาลฎีกาฯ ได้ตัดสินถึงที่สุดแล้ว

โดยคดีหมายเลขที่ อม.3/2551  คดีหมายเลขแดงที่ อม.4/2551 ระหว่างคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ นายทักษิณ ชินวัตร จำเลย  ซึ่งเป็นคดี ให้ธนาคารเอ็กซิมแบงก์ปล่อยกู้เงินแก่เมียนมา 4,000 ล้านบาท ศาลฯพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 152(เดิม) ลงโทษจำคุกจำเลย 3 ปี ไม่รอลงอาญา

2. คดีหมายเลขดำที่ อม.1/2551 คดีหมายเลขแดงที่ อม.10/2552 ระหว่าง คตส. โดย ป.ป.ช. เป็นโจทก์ นายทักษิณ ชินวัตร  ที่ 1 กับพวกรวม 47 คน จำเลย  ซึ่งเป็นคดีทุจริตโครงการหวยบนดิน ศาลมีคำพิพากษาจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ให้จำคุก 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา

3. คดีหมายเลขดำที่ อม.9/2551 คดีหมายเลขแดงที่ อม.5/2551 ของศาลนี้ ระหว่างอัยการสูงสุด (อสส.) โจทก์ นายทักษิณ จำเลย  ในคดี ให้นอมินีถือหุ้นชินคอร์ป และเข้าไปมีส่วนได้เสียในกิจการโทรคมนาคม สั่งพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ. ป.ป.ช.  พ.ศ. 2542 มาตรา 100 วรรค 1(2) และมาตรา 122 วรรค 1 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152(เดิม) ซึ่งเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรม มีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุก 5 ปี นับโทษจำคุกของจำเลยต่อจากโทษจำคุกในก่อนหน้านี้ โดยศาลได้ออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดแต่ละคดีแล้วโดยจำเลยหลบหนีไปต่างประเทศเวลา 16 ปี

แต่กลับปรากฏว่า เมื่อวันที่ 31 ส.ค. ครอบครัวของจำเลย ได้ยื่นหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษและได้รับการอภัยโทษ ให้ลดโทษจำคุกจากโทษจำ 8 ปี ให้เหลือจำคุก 1 ปี ซึ่งเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่จำเลยและครอบครัวแล้ว แต่เมื่อจำเลยเดินทางเข้าประเทศไทยในวันที่ 22 ส.ค. 2566  กลับไม่ได้รับโทษจำคุกจริง  โดยมีการอ้างเหตุว่าป่วย  ต้องเข้ารับการรักษาตัวในรพ.ตำรวจ ชั้น 14  โดยกรมราชทัณฑ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำเป็นการขัดต่อกฎกระทรวงยุติธรรมและระเบียบปี พ.ศ.2563 อีกด้วย

“ดังนั้น พวกผม จึงได้ทำคำร้องนี้ ยื่นต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อขอให้ดำเนินการไต่สวน กรณีมีบุคคล คณะบุคคลหรือเจ้าหน้าที่ ร่วมกันกระทำให้ไม่เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลฯ ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินคดีอาญาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2562 หมวด 9 เกี่ยวกับการบังคับคดี ข้อที่ 62 ที่ระบุว่า  ‘เมื่อบุคคลภายนอกยื่นคำร้องหรือคำขอต่อศาลในชั้นบังคับคดีให้ผู้พิพากษาประจำแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกาอย่างน้อยสามคนเป็นองค์คณะพิจารณาชี้ขาดคำร้องหรือคำขอดังกล่าว’

อีกทั้งสามคดีนี้ ยังอยู่ในอำนาจของศาลฯ ตามคำพิพากษาของศาลฯ   อีกทั้งผมเคยทำหน้าที่เป็นอดีตรองประธานคณะอนุกรรมาธิการศึกษา เสนอแนะมาตรการและกลไกในการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) และอดีต สส. ที่ได้ติดตามตรวจสอบเรื่องเหล่านี้มาโดยตลอดจึงขอใช้สิทธิให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ปีพ.ศ.2560 มาตรา 41 (3) ที่ระบุให้สิทธิในการฟ้องหน่วยงานรัฐให้รับผิดชอบเนื่องจากการกระทำหรือการละเว้นการกระทำของข้าราชการพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐ” นายชาญชัย กล่าว