เว็บไซต์ Yeah1.com นำเสนอเรื่องราวของหญิงชาวไต้หวันคนหนึ่ง แต่งงานกับสามีเมื่อปี 2523 และมีบุตรชายร่วมกันคนหนึ่ง สามีประกอบอาชีพผู้จัดการโรงแรมแห่งหนึ่ง ในกรุงไทเป และกล่าวว่า ต้องมีการเช่าบ้านไว้อีกแห่งเพื่อความสะดวกในการทำงาน แม้ทั้งคู่แยกกันอยู่เมื่อปี 2543 แต่ยังไม่ได้หย่าขาดจากกัน


จนกระทั่งสามีเสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน เมื่อเดือนต.ค. 2565 ภรรยาและบุตรชายจึงดำเนินการตามขั้นตอน เพื่อขอรับเงินประกันจากกรมธรรม์ซึ่งสามีและภรรยาทำร่วมกัน เป็นวงเงินสูงถึง 2.9 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน (ราว 3.32 ล้านบาท) อย่างไรก็ตาม เมื่อบุตรชายไปทำเรื่องเพื่อขอรับเงิน เนื่องจากมีชื่อในฐานะผู้รับผลประโยชน์ กลับได้รับแจ้งจากบริษัทประกันว่า มีการเปลี่ยนชื่อผู้รับผลประโยชน์แล้ว เพียง 11 วันก่อนบิดาเสียชีวิต และบริษัทจ่ายเงินให้แก่ผู้รับผลประโยชน์คนใหม่ไปแล้ว


เมื่อสืบเสาะค้นหาความจริงต่อไป ปรากฏว่า ผู้รับผลประโยชน์คนใหม่ คือหญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นอดีตเพื่อนร่วมงานกับสามีของเธอ และใช้ชีวิตกับสามีของเธอมานานหลายปีแล้ว ภรรยาจึงฟ้องร้องให้หญิงคนดังกล่าวจ่ายเงินชดเชย


ทว่าหญิงคนนี้โต้แย้งว่า เธอกับชายผู้เสียชีวิตอยู่กินกันมานานถึง 22 ปีแล้ว และเธอดูแลฝ่ายชายเป็นอย่างดีตลอดเวลาที่เขาป่วย และกล่าวอีกว่า ฝ่ายชายไม่ได้ใช้ชีวิตคู่กับภรรยานานมากแล้ว ดังนั้น “ความสัมพันธ์” ระหว่างฝ่ายชายกับภรรยา “มีค่าเพียงกระดาษทะเบียนสมรสแผ่นหนึ่ง”


ขณะที่น้องสาวของชายผู้เสียชีวิตกล่าวว่า พี่ชายของเธอกับภรรยาตามกฎหมายไม่ได้ใช้ชีวิต และปรากฏตัวร่วมกันมานานมากแล้ว มีแต่หญิงซึ่งเป็นอดีตเพื่อนร่วมงานที่โรงแรม ซึ่งพี่ชายของเธอพามาด้วย เมื่อเดินทางกลับมาเยี่ยมบ้านที่ต่างจังหวัด อีกทั้งบิดามารดายังเคยพบกับหญิงคนนี้มาแล้ว


ด้านศาลในกรุงไทเปพิพากษาว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาคู่นี้เปราะบางอย่างยิ่ง ฝ่ายหญิงไม่ยอมรับ “ความเป็นจริง” เกี่ยวกับการใช้ชีวิตของสามี ส่วนหญิงอีกคนซึ่งอยู่ในสถานะคู่รักนั้น แม้คอยดูแลฝ่ายชายจนกระทั่งอีกฝ่ายเสียชีวิต แต่ถือว่าเธอละเมิดสิทธิการแต่งงาน และความเป็นครอบครัวของผู้หญิงอีกคนเช่นกัน.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES