“ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” สรุปความเคลื่อนไหวเงินบาทสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเงินบาทแกว่งตัวในกรอบแคบต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน ซึ่งเงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์สอดคล้องกับจังหวะการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก ก่อนที่จะกลับมาอ่อนค่าทะลุแนว 36.00 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงกลางสัปดาห์ท่ามกลางแรงซื้อคืนเงินดอลลาร์ ช่วงสั้นๆ ของนักลงทุนก่อนการประกาศตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่คำนวณจากดัชนีราคา PCE และ Core PCE ของสหรัฐ

เงินบาทฟื้นตัวกลับมาเคลื่อนไหวในฝั่งที่แข็งค่ากว่าแนว 36.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้อีกครั้งในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ แต่กรอบการแข็งค่าของเงินบาทยังคงเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากยังคงขาดปัจจัยใหม่ๆ มาหนุน และตลาดกลับมารอติดตามปัจจัยสำคัญในสัปดาห์ถัดไป อาทิ สุนทรพจน์ของประธานเฟด (6-7 มี.ค.) และตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐ (8 มี.ค.)

ในวันศุกร์ที่ 1 มี.ค. 2567 (ก่อนช่วงตลาดนิวยอร์ก) เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 35.89 บาทต่อดอลลาร์ เทียบกับระดับ 36.11 บาทต่อดอลลาร์ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (23 ก.พ. 67) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 27 ก.พ.-1 มี.ค. 2567 นั้น นักลงทุนต่างชาติกลับมาขายสุทธิหุ้นไทย 6,725 ล้านบาท และชะลอสถานะ Net Inflows เข้าตลาดพันธบัตรไทย โดยมียอดอยู่ที่ 650 ล้านบาท (ซื้อสุทธิพันธบัตร 1,300 ล้านบาท หักตราสารหนี้หมดอายุ 650 ล้านบาท)

สัปดาห์ถัดไป (4-8 มี.ค.) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 35.50-36.30 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินลงทุนต่างชาติ ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือน ก.พ. ของไทย และสุนทรพจน์ของประธานเฟด

ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี ISM/PMI ภาคบริการ ข้อมูลจ้างงานภาคเอกชน ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราการว่างงานเดือน ก.พ. ยอดสั่งซื้อภาคโรงงาน ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือน ม.ค. รายงาน Beige Book ของเฟด และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์

นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามผลการประชุมนโยบายการเงินของ ECB ตัวเลขการส่งออกเดือน ม.ค.-ก.พ. ของจีน รวมถึงดัชนี PMI ภาคบริการเดือน ก.พ. ของจีน ญี่ปุ่น และยูโรโซนด้วยเช่นกัน