สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองกลาสโกว์ สหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 5 พ.ย. ว่า นางซิติ นูร์บายา บาการ์ รมว.สิ่งแวดล้อมของอินโดนีเซีย กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เกี่ยวกับการที่รัฐบาลจาการ์ตาเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแผนยุติการตัดไม้ทำลายป่า และการเพิ่มมาตรการปกป้องทรัพยากรดิน ภายในสิ้นทศวรรษนี้ หรือภายในปี 2573 ในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตามกรอบของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ( ยูเอ็นเอฟซีซีซี ) ครั้งที่ 26 หรือ “คอป 26” ที่เมืองกลาสโกว์ “เป็นการข่มขู่ที่ไม่ยุติธรรมและไม่เหมาะสม”


เธอกล่าวต่อไปว่า อินโดนีเซียกำลังเร่งโครงการพัฒนาหลายระบบโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่หลายด้าน ซึ่งไม่สามารถหยุดชะงักได้ เพียงเพราะเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน หรือการยุติการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งเป็นเรื่องที่แต่ละประเทศ “ให้คำนิยามแตกต่างกัน” ดังนั้น อินโดนีเซีย “ไม่สามารถให้คำมั่นกับสิ่งที่ทำไม่ได้” และตะวันตกไม่ควรใช้มาตรฐานของตัวเองกับอินโดนีเซีย


ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศของอินโดนีเซียพยายามคลี่คลายสถานการณ์ ด้วยการออกแถลงการณ์ว่า คำประกาศเรื่องการยุติการตัดไม้ทำลายป่า “ไม่ได้หมายความว่าต้องสิ้นสุดภายในปี 2573” แต่เป็นการที่มากกว่า 100 ประเทศซึ่งลงนามนั้น “ให้หลักประกันร่วมกันอย่างจริงจัง” ว่าจะไม่มีการสร้างความเสียหายและทำลายผืนป่าอีก


อย่างไรก็ตาม ท่าทีของรัฐมนตรีถือเป็นการส่งสัญญาณท้าทายให้แก่เป้าหมายนี้ตั้งแต่ต้น จากการที่อินโดนีเซียเป็นประเทศซึ่งมีพื้นที่ป่าเป้นสัดส่วนมากถึง 1 ใน 3 ของโลก ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อรวมกับบราซิล และสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ( ดีอาร์คองโก ) แล้ว พื้นที่ป่าของทั้งสามประเทศมีอาณาบริเวณครอบคลุมมากถึง 85% ของผืนป่าทั้งโลก


ปัจจุบัน อินโดนีเซียเป็นประเทศผู้ส่งออกปาล์มรายใหญ่ที่สุดของโลก และเฉพาะเมื่อปี 2562 มีการแผ้วถางป่าเป็นพื้นที่เทียบเท่ากับประเทศเบลเยียม เพื่อเตรียมพื้นที่สำหรับการปลูกปาล์ม.

เครดิตภาพ : AP