สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. ว่าจากกรณีศาลไฮคอร์ตในกรุงกัวลาลัมเปอร์ มีคำพิพากษาเมื่อเดือน ก.ค. ปีที่แล้ว ให้นายนาจิบ ราซัค อดีตนายกรัฐมนตรี รับโทษจำคุกเป็นเวลา 12 ปี และชำระค่าเสียหาย 210 ล้านริงกิต (ราว 1,668.03 ล้านบาท) ตามความผิดทั้ง 7 ข้อหา แบ่งเป็น 3 ข้อหาเกี่ยวกับการละเมิดอำนาจ เกี่ยวกับการฟอกเงิน 3 ข้อหา และอีก 1 ข้อหาฐานใช้อำนาจมิชอบ


โดยศาลพิจารราตามหลักฐานแล้วพบว่า อดีตผู้นำมาเลเซีย วัย 68 ปี มีความผิดจริง ฐานทุจริตเงิน 42 ล้านริงกิต (ราว 333.61 ล้านบาท) จากกองทุนเอสอาร์ซี อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งเป็นหนึ่งในกองทุนย่อยของกองทุนพัฒนาแห่งชาติ “วัน มาเลเซีย เดเวลอปเมนต์ เบอร์ฮัด” หรือวันเอ็มดีบี โดยยักยอกเงินดังกล่าวเข้าบัญชีส่วนตัว ระหว่างจัดการกองทุนเมื่อช่วงปี 2554 ถึง 2558 นั้น


ศาลอุทธรณ์ในกรุงกัวลาลัมเปอร์มีคำพิพากษา เมื่อวันพุธ ยืนคำตัดสินทั้งหมดตามศาลไฮคอร์ต ขณะที่ทีมงานฝ่ายกฎหมายของนาจิบประกาศทันที ว่าเตรียมยื่นยุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ด้านอดีตผู้นำมาเลเซียยังคงได้รับการประกันตัวระหว่างอยู่ในกระบวนการ


อนึ่ง คดีความเกี่ยวกับกองทุนเอสอาร์ซี อินเตอร์เนชั่นแนล เป็นเพียงคดีแรกจาก 5 คดี รวมคำฟ้องทั้งสิ้น 42 ข้อหา ที่อัยการสูงสุดของมาเลเซียต้องการเอาผิดนาจิบ ว่าคอร์รัปชั่นอย่างร้ายแรง ด้วยการใช้อำนาจมิชอบ ฟอกเงิน ฉ้อโกง และละเมิดต่ออำนาจหน้าที่ เพื่อการ “ปล้นทรัพย์อย่างเป็นระบบ” จากวันเอ็มดีบี ที่นาจิบก่อตั้งเองเมื่อปี 2552 และกลายเป็นมหากาพย์คดีคอร์รัปชั่นทางการเงินมโหฬารที่สุดครั้งหนึ่งของโลก พัวพันหลายประเทศทั้งระดับรัฐและเอกชน และมี “ผู้ร่วมขบวนการจำนวนมาก”

ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนของมาเลเซียเชื่อว่า ระหว่างปี 2552 ถึง 2557 มีการยักยอกเงินจากวันเอ็มดีบีประมาณ 18,364.35 ล้านริงกิต (ราว 145,967.36 ล้านบาท).

เครดิตภาพ : REUTERS