เมื่อวันที่ 18 ม.ค. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นพ.อิทธิพร คณะเจริญ เลขาธิการแพทยสภา นำแพทย์ผู้เสียหายกรณีถูกแก๊งคอลเซ็นต์เตอร์แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ หลอกว่าเกี่ยวข้องกับผู้ต้องหาคดีฟอกเงิน เข้าพบนายไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ อธิบดีดีเอสไอ เพื่อขอให้ตรวจสอบความเกี่ยวข้องของผู้ใช้เบอร์โทรศัพท์หลอกลวงและเส้นทางการเงินของแก๊งดังกล่าว
โดย นพ.อิทธิพร กล่าวว่า ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่ามีแพทย์ประจำบ้านและแพทย์จบใหม่ บุลคลากรทางแพทย์เภสัชกร พยาบาล ถูกกลุ่มมิจฉาชีพ ซึ่งเป็นแก๊งค์คอลเซ็นต์เตอร์โทรศัพท์มาหลอกลวง โดยอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ดีเอสไอตรวจสอบพบว่าบัญชีของผู้เสียหายจะถูกอายัดเนื่องจากพบเอกสารเกี่ยวพันกับขบวนการฟอกเงิน ซึ่งหมอส่วนใหญ่ไม่ได้หลงกล แต่มีปัญหาว่าระหว่างที่แพทย์กำลังตรวจคนไข้ หรือกำลังผ่าตัด ก็มีเบอร์ดังกล่าวโทรฯ เข้ามา ส่วนผู้ที่หลงเชื่อเป็นกลุ่มที่ไม่ได้ติดตามข่าวสารจึงโอนเงินให้กับกล่าวมิจฉาชีพประมาณ 10 ราย สูญเงินรายละประมาณ 500,000-1,000,000 บาท

“….จากการตรวจสอบฐานข้อมูลของแพทย์ในองค์กรไม่พบว่า มีข้อมูลรั่วไหล แต่เชื่อว่าอาจมาจากองค์กรภายนอกที่นำข้อมูลส่วนตัวของแพทย์ไปใช้ประโยชน์ทางการตลาด ซึ่งสมาคมธนาคารไทยควรเข้ามาตรวจสอบและมีบทบาทในการคุ้มครองบัญชีเงินฝาก โดยเฉพาะธนาคารที่รับเปิดบัญชีควรสังเกตความผิดปกติของบัญชีที่มีการโอนเงินออกอย่างรวดเร็ว ควรมีกลไกป้องกันระงับไม่ให้เงินไหลออกไปบัญชีของมิจฉาชีพอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ กสทช.ควรจะเร่งตัดระบบการสื่อสารให้ทันเวลา ซึ่งทางแพทยสภาได้ยื่นเรื่องไป กสทช.ให้พิจารณาเรื่องดังกล่าวอย่างเร่งด่วนแล้ว…” นพ.อิทธิพร กล่าว

ด้าน นายไตรยฤทธิ์ กล่าวว่า การแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ดีเอสไอของแก๊งคอลเซ็นต์เตอร์ เริ่มกลับมาระบาดอีกครั้งในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ในแต่ละวันมีผู้เสียหายมาร้องเรียนจำนวนมาก จากการสืบสวนพบว่าการหลอกลวงมาจากหลายช่องทาง ทั้งการลงทะเบียนซื้อของออนไลน์ ใช้บัญชีเฟซบุ๊ก หรือดูไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้เฟซบุ๊ก จากนั้นจึงเข้าไปล้วงข้อมูล ซึ่งขณะนี้ดีเอสไอสืบสวนพบว่าแก๊งดังกล่าวมีการทำเป็นขบวนการใหญ่ มีชาวจีนที่อยู่อาศัยในกัมพูชาและไทยร่วมกัน โดยมีชาวจีนเป็นตัวการใหญ่ และมีการจ้างชาวต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในประเทศ เด็กนักเรียน และชาวบ้าน รับจ้างเปิดบัญชีม้า พบว่ามีหลายร้อยบัญชี และยังพบว่ามีการนำซิมมือถือเถื่อนที่ใช้ชื่อบุคลอื่นหรือต่างด้าวมาลงทะเบียนกว่า 100,000 หมายเลข

“…คดีนี้ต้องดูข้อกฎหมายว่ารับเป็นคดีพิเศษได้หรือไม่ เพราะจากเครือข่ายที่เราตรวจสอบพบว่า คดีค่อนข้างมีความสลับซับซ้อน และอาจกระทบต่อความมั่นคงจากหลักฐานซิมเถื่อนที่พบถือว่าเป็นคดีใหญ่จะต้องประสานกับ กสทช. และสมาคมธนาคารไทยให้เข้ามาช่วยกันตรวจสอบต่อไป ซึ่งขณะนี้ดีเอสไออยู่ระหว่างการขยายผลสอบเพิ่มเติม…” อธิบดีดีเอสไอ กล่าว.