แนวความคิดสร้างสรรค์ที่บริสุทธิ์ เปี่ยมด้วยอุดมการณ์อันแรงกล้าของคนหนุ่มสาวจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นนิสิต นักศึกษาในมหาวิทยาลัย 5 แห่ง ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากรและมหาวิทยาลัยมหิดล ได้รับการจุดประกายความคิดจากนโยบายรัฐที่ประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ฉบับที่ 1 ระยะเวลา 6 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2504-2509 และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 2 ระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2510-2514 จึงเป็นเหตุนำไปสู่การสัมมนาร่วมกันจนตกผลึกทางความคิดใน การดำเนินกิจกรรมเพื่อพัฒนาสังคมชนบท

การก่อตั้ง​กลุ่มนิสิตอาสาสมัคร​ มหาวิทยาลัย​เกษตรศาสตร์ เมื่อกลางปี​ 2509 เกิดจากการริเริ่มของนิสิตซึ่งเป็นคนต่างจังหวัด 3 คน ประกอบด้วย นายบำรุง บุญปัญญา ชาวสุรินทร์ (NGOอาวุโส ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)​ นิสิตปี 4 คณะเกษตร ดร.เวท ไทยนุกูล ชาวสงขลา (อดีตนักวิชาการ กรมวิชาการเกษตร) นิสิตปี 4 คณะเกษตร ​และ รศ.ดร.ประเสริฐ ชิตพงศ์ ชาวสงขลา​ ​(อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์​ และ อดีต ส.ว. สงขลา) นิสิตปี 1 คณะเกษตร โดยมีนายบำรุง บุญปัญญา​ เป็นประธานกลุ่มนิสิตอาสาสมัคร 

ต่อมาในปี 2510 กลุ่มนิสิตอาสาสมัครมีการออกค่ายเป็นครั้งแรกที่ภาคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นดินแดนที่มีความทุรกันดาร แห้งแล้ง ประชาชนมีความยากจนค่นแค้น ไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาด้านการศึกษา เด็กๆไม่มีโรงเรียน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจึงเป็นเป้าหมายในการออกค่าย พื้นที่การออกค่ายแห่งแรก ไปที่ อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี ดำเนินกิจกรรม​ช่วยเหลือชาวบ้านพัฒนาคูคลอง​และแนะนำความรู้ด้านการเกษตรเป็นระยะเวลา 10 วัน แห่งที่สอง ไปที่ อ.ท่าอุเทน​ จ.นครพนม ​ดำเนินกิจกรรมช่วยเหลือชาวบ้านสร้างอาคารเรียน​และแนะนำความรู้ด้านการเกษตรเป็นระยะเวลา 10 วัน

การออกค่ายในครั้งแรกนี้มี ดร.เวท ไทยนุกูล เป็นผู้อำนวยการค่าย และมี ศ.ดร.ดิเรก ปัทมสิริวัทย์ ชาวพิษณุโลก (อดีตผู้อำนวยการศูนย์วิจัยการเติบโตทางเศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำในสังคม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์) นิสิตปี 1 คณะเศรษฐศาสตร์ เป็นเลขานุการค่าย พร้อมด้วยกลุ่มนิสิตอาสาสมัครรวม 34 คน ในจำนวนนี้มีนิสิตหญิงชาวค่าย 2 คนจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักเรียนหญิงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 8 อีก 1 คน จากโรงเรียนสตรีวิทยาร่วมออกค่ายด้วย ซึ่งนักเรียนหญิงผู้นี้เป็นน้องสาวของ ศ.ดร.อารี ตรีเพชรไพศาล ชาวเชียงใหม่ (อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์) นิสิตปี 2 คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่พักในการการออกค่ายครั้งนี้ นิสิตหญิงพักอาศัยอยู่ที่บ้านของชาวบ้าน ส่วนนิสิตชายพักที่ศาลาวัด

การออกค่ายในห้วงเวลานั้นสภาพการณ์ความไม่สงบยังปรากฏอยู่อย่างต่อเนื่องในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจากการแทรกซึมและบ่อนทำลายของลัทธิคอมมิวนิสต์ที่มีการปลูกฝังและครอบงำความคิดของประชาชนในชนบทโดยอาศัยเงื่อนไขความเหลื่อมล้ำทางสังคม ความอยุติธรรมที่ถูกกดขี่และถูกเอารัดเอาเปรียบเป็นสิ่งเปราะบางในสังคมชนบทที่นำไปสู่เหตุการณ์ “วันเสียงปืนแตก” เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2508 ซึ่งชาวบ้านลุกขึ้นจับปืนต่อสู้กับอำนาจรัฐ มีการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นครั้งแรกที่บ้านนาบัว อ.เรณูนคร จ.นครพนม โดยพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ดำเนินการขับเคลื่อนเร่งเร้าให้เกิดความรุนแรงและขยายวงกว้างออกไปตามจังหวัดตลอดแนวเทือกเขาภูพาน

กลุ่มนิสิตอาสาสมัคร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ยังคงดำรงเป้าหมายในการพัฒนาสังคมชนบท ออกค่ายในพื้นที่ที่กำหนดไว้ตามแผนงานเดิม โดยไม่หวั่นเกรงหรือหวาดกลัว เพราะมีความตั้งใจและบริสุทธิ์ใจกับการ ทำงานให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมชนบทอย่างแท้จริง การออกค่ายในครั้งแรกจึงยังคงมุ่งไปในพื้นที่ของ จ.นครพนม โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ให้การดูแลและรักษาความปลอดภัยในการเข้าออกพื้นที่และออกจากพื้นที่การทำงาน

ในปี 2511 ​กลุ่มนิสิตอาสาสมัครมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ออกค่ายเป็นครั้งที่ 2 ที่ อ.ธาตุพนม​ จ.นครพนม ซึ่งอยู่ห่างจาก อ.เรณูนคร เพียง 15 กิโลเมตร ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เคยเกิดเหตุการณ์ “วันเสียงปืนแตก”เมื่อปี 2508 โดยมีนายเกียรติศักดิ์ มัธยมางกูร (อดีตผู้อำนวยการสำนักพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ภาคกลาง) นิสิตปี 3 คณะเศรษฐศาสตร์ เป็นผู้อำนวยการค่าย ได้สร้าง โรงเรียนเกษตร​ศาสตร์​อนุสรณ์แห่งที่ 1 ชื่อว่า โรงเรียนบ้านคับพวง​ เกษตรศาสตร์​อนุสรณ์​​

ตั้งแต่ปี 2512-2519 กลุ่มนิสิตอาสาสมัคร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีผลงานออกค่ายสร้างโรงเรียนปีละ 3 โรง ดังนี้

ปี 2512 สร้างโรงเรียนเกษตรศาสตร์อนุสรณ์แห่งที่ 2-4  คือ โรงเรียนบ้านวังโพธิ์​ เกษตร​ศาสตร์​อนุสรณ์​ ​อ.ปลาปาก​ จ.นครพนม   ​โรงเรียนบ้านโคกกลาง​ เกษตรศาสตร์อนุสรณ์​ อ.ปลาปาก​ จ.นครพนม และโรงเรียนเกษตรประชาตาทวด​ เกษตรศาสตร์อนุสรณ์ อ.กันทรลักษ์​ จ.ศรีสะเกษ

ปี 2513 สร้างโรงเรียนเกษตรศาสตร์อนุสรณ์แห่งที่  5-7 โรง คือ โรงเรียนประชาเกษตรพัฒนา​ เกษตรศาสตร์อนุสรณ์ ​อ.วัฒนานคร​ จ.ปราจีนบุรี (จ.สระแก้วในปัจจุบัน) โรงเรียนบ้านน้ำคิว​ เกษตรศาสตร์​อนุสรณ์​ อ.เมือง​ จ.เลย และโรงเรียนเกษตรนาสมหวังสามัคคี​  เกษตรศาสตร์​อนุสรณ์​ อ.หนองบัวลำภู จ.อุดรธานี ​(จ.หนองบัวลำภูในปัจจุบัน )​

ปี 2514 สร้างโรงเรียนเกษตรศาสตร์อนุสรณ์แห่งที่ 8-10 คือ โรงเรียนบ้านหนองแต้พัฒนา​ เกษตรศาสตร์​อนุสรณ์ ​อ.บ้านด่าน​ จ.บุรีรัมย์  โรงเรียนบ้านโนน​สวรรค์​ เกษตรศาสตร์อนุสรณ์ อ.กาบเชิง​ จ.สุรินทร์ และโรงเรียนบ้านนาสามัคคี​ เกษตรศาสตร์อนุสรณ์ อ.น้ำยืน​ จ.อุบลราชธานี

ปี  2515 สร้างโรงเรียนเกษตรศาสตร์อนุสรณ์แห่งที่ 11-13 คือ โรงเรียนบ้านดอนจำปา​ เกษตรศาสตร์อนุสรณ์ อ.ภูเขียว​ จ.ชัยภูมิ  โรงเรียนบ้านหนองเขียด​ เกษตร​ศาสตร์​อนุสรณ์​ อ.ภูหลวง​ จ.เลย และโรงเรียนบ้านโนนสะอาด​ เกษตร​ศาสตร์​อนุสรณ์​  อ.มุกดาหาร จ.นครพนม (จ.มุกดาหาร​ในปัจจุบัน)

ปี  2516 สร้างโรงเรียนเกษตรศาสตร์อนุสรณ์แห่งที่ 14-16 คือ โรงเรียนบ้านหนองเหล็ก​ เกษตรศาสตร์อนุสรณ์ อ.โกสุมพิสัย​ จ.มหาสารคาม โรงเรียนบ้านหัวดงยาง​ เกษตร​ศาสตร์​อนุสรณ์​ อ.บ้านดุง​ จ.อุดรธานี และโรงเรียนบ้านแดง (บุญเสริมอุทิศ) เกษตร​ศาสตร์​อนุสรณ์​ อ.ตระการพืชผล ​จ.อุบลราชธานี
             
ปี  2517 สร้างโรงเรียนเกษตรศาสตร์อนุสรณ์แห่งที่ 17-19  คือ โรงเรียน​บ้าน​ป่งขาม​ เกษตร​ศาสตร์​อนุสรณ์​ อ.มุกดาหาร​ จ.นครพนม (จ.มุกดาหารในปัจจุบัน) ศูนย์เยาวชนบ้านดงยาง​ เกษตรศาสตร์​อนุสรณ์​ อ.เลิงนกทา​ จ.ยโสธร และโรงเรียนบ้านทุ่ง​ เกษตร​ศาสตร์​อนุสรณ์​ อ.ฮอด​ จ.เชียงใหม่
              
ปี  2518 สร้างโรงเรียนเกษตรศาสตร์อนุสรณ์แห่งที่  20-22 คือ โรงเรียนบ้านหนองเป็ด​  เกษตร​ศาสตร์​อนุสรณ์​ อ.หนองบัวแดง​ ​ จ.ชัยภูมิ โรงเรียนวัดคลองโนน​ เกษตรศาสตร์​อนุสรณ์​ ​อ.เมือง​ จ.พิจิตร และโรงเรียนบ้านคำแวง​ เกษตรศาสตร์​อนุสรณ์​ อ.บึงกาฬ ​ จ.หนองคาย (​จ.บึงกาฬในปัจจุบัน)

ปี  2519 สร้างโรงเรียนเกษตรศาสตร์อนุสรณ์แห่งที่ 23-25  คือ โรงเรียนบ้านราษฎร์ดำเนิน​ เกษตร​ศาสตร์​อนุสรณ์​ ​อ.โพนทอง​ จ.ร้อยเอ็ด โรงเรียนบ้านไร่เหนือ​ เกษตรศาสตร์​อนุสรณ์​ อ.นาสาร​ จ.สุราษฎร์ธานี และโรงเรียนบ้านซำงู​ เกษตร​ศาสตร์​อนุสรณ์​ อ.ทุ่งศรีอุดม​ จ.อุบล​ราชธานี

ปี  2520 สร้างโรงเรียน 1 โรง เป็นโรงเรียนเกษตรศาสตร์อนุสรณ์แห่งที่ 26 คือ โรงเรียนบ้านคลองสาย​ ​เกษตร​ศาสตร์​อนุสรณ์​​ อ.ฉวาง​ จ.นคร​ศรี​ธรรม​ราช

ปี  2521 สร้างโรงเรียน 2 โรง เป็นโรงเรียนเกษตรศาสตร์อนุสรณ์แห่งที่ 27-28 คือ โรงเรียน​หนองหญ้าปล้อง​วิทยา​ เกษตร​ศาสตร์​อนุสรณ์​​ อ.หนองหญ้าปล้อง​ จ.เพชรบุรี  และโรงเรียน​บ้านยางชุมภูมิตำรวจ​ เกษตร​ศาสตร์​อนุสรณ์​ ​อ.ขุขันธ์​ จ.ศรีสะเกษ

ปี 2522 สร้างโรงเรียน 3 โรง เป็นโรงเรียนเกษตรศาสตร์อนุสรณ์แห่งที่ 29-29/1 และ 30 คือ โรงเรียนบ้านสร้างเอี่ยน​ เกษตรศาสต​ร์อนุสรณ์​ อ.​บ้านไผ่​ จ.​ขอนแก่น โรงเรียนน้ำตกห้วยสวนพลู​ เกษตรศาสตร์​อนุสรณ์​ อ.สวนผึ้ง ​(อ.บ้านคาในปัจจุบัน)​ จ.ราชบุรี และโรงเรียนบ้านโป่งดู่​ประชาอุทิศ​ เกษตร​ศาสตร์​อนุสรณ์​30​ อ.ขาณุวรลักษบุรี​ จ.​กำแพงเพชร

ปี 2523 สร้างโรงเรียน 2 โรง เป็นโรงเรียนเกษตรศาสตร์อนุสรณ์แห่งที่ 31-32  คือ โรงเรียนบ้านเนินดิน​ราษฎร์​อุทิศ​ เกษตรศาสตร์​อนุสรณ์​31​ อ.เนินมะปราง​ จ.พิษณุโลก และโรงเรียนบ้านหนองตลับ​ เกษตร​ศาสตร์​อนุสรณ์​32​ อ.คีรีมาศ​ จ.​สุโขทัย

ปี 2524 สร้างโรงเรียน 2 โรง เป็นโรงเรียนเกษตรศาสตร์อนุสรณ์แห่งที่ 33-34 คือ โรงเรียนบ้านแยประชาสรรค์​ เกษตรศาสตร์อนุสรณ์ อ.เลิงนกทา​ จ.ยโสธร และโรงเรียนโนน​สวรรค์​ประชา​สรรพ์ภู​ปอ​ เกษตร​ศาสตร์​อนุสรณ์​ อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์

ปี 2525 สร้างโรงเรียน 2 โรง เป็นโรงเรียนเกษตรศาสตร์อนุสรณ์แห่งที่ 35-36 คือ โรงเรียน​เด่นกระต่ายประชาสรรค์​ เกษตร​ศาสตร์​อนุสรณ์​ อ.เมือง​ จ.อุตรดิตถ์ และโรงเรียนบ้านป่าระกำ​ เกษตร​ศาสตร์​อนุสรณ์​ 36​ อ.สระแก้ว​ จ.ปราจีนบุรี (จ.สระแก้วในปัจจุบัน)

ในปี 2526 กลุ่มนิสิตอาสาสมัครมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีการเปลี่ยนชื่อเป็น ชมรมนิสิตค่ายอาสาพัฒนา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งตั้งแต่ปี 2526-2563 มีการสร้างโรงเรียนเกษตรอนุสรณ์แห่งที่ 37-78 รวม 42 โรง

ปณิธาน และ อุดมการณ์ ของชาวค่ายมีจุดมุ่งหมายให้สังคมชนบทมีโอกาสและได้รับการพัฒนาอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีโรงเรียนเพื่อให้เด็ก ๆ ได้ศึกษาหาความรู้  เป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตและดำเนินชีวิต การทำงานอย่างหนักด้วยความไม่ย่อท้อต่อปัญหาและอุปสรรคทั้งหลาย ปัจจัยสำคัญประการหนึ่ง คือ ได้รับขวัญและกำลังใจ จากการเยี่ยมค่ายของอธิการบดี​มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และคณะผู้บริหาร รวมถึงผู้ว่าราชการจังหวัดและหัวหน้าส่วนราชการต่างๆ ตลอดจนการเยี่ยมค่ายของนิสิตเก่ารุ่นพี่ในแต่ละจังหวัดมิได้ขาด
              
ศ.ระพี​ สาคริก เลขาธิการ​รองอธิการบดีและอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ตามลำดับในห้วงเวลานั้นตั้งแต่ปี 2512 เป็นต้นมาเป็นเวลากว่าทศวรรษ ได้ให้ความสำคัญกับการเยี่ยมค่ายทุกค่ายมาเป็นเวลาต่อเนื่องชาวค่ายให้ความเคารพนับถือในความเมตตาและกรุณาที่ให้การสนับสนุนและช่วยเหลือกิจกรรมชาวค่ายเสมอมา ชาวค่ายทั้งมวลจึงมีความเคารพรักและมีความผูกพันกับท่านอย่างลึกซึ้ง เรียกท่านว่า “คุณพ่อ” การเยี่ยมค่ายในแต่ละครั้งท่านได้ให้การชี้แนะแนวทางการบริหารจัดการค่ายยามค่ำคืนท่านเข้าร่วมกิจกรรมสันทนาการกับชาวค่ายและชาวบ้านอย่างเป็นกันเองก่อนเข้านอนมีการประชุมสรุปกิจกรรมประจำวัน​รวมถึงกำหนดแผนงานร่วมกันอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้เกิดความราบรื่นในการปฏิบัติงานเมื่อถึงวันเดินทางกลับชาวค่ายต่างอดกลั้นน้ำตากันไม่อยู่ด้วยความอาลัยอาวรณ์ที่ซาบซึ้งถึงคุณความดีของท่าน

การอยู่ร่วมกันของชาวค่ายมีกฏระเบียบและข้อบังคับ ที่ทุกคนจะต้องประพฤติปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัด อาทิ ชาวค่ายหญิงนอนอยู่รวมกันมีแผ่นไม้และผ้าใบหรือผ้ากระสอบกั้น​ ​ชาวค่ายหญิงรุ่นพี่นอนประกบด้าน​หัวท้ายและตำแหน่งประตูเข้า-ออก ​ส่วนชาวค่ายชายนอนที่เต็นท์​อำนวยการ​ เพิงเก็บสัมภาระและเครื่องมือก่อสร้าง รวมถึงโรงครัว ชาวค่ายชายซึ่งเป็นรุ่นพี่​แบ่งกันทำหน้าที่เป็นเวรยามเฝ้าระวัง​และคุ้มครองสวัสดิภาพของชาวค่ายทุกคนโดยมีอาวุธติดตัว  ​

ห่างออกไปจากบริเวณที่ตั้งค่าย​มีชาวบ้านซึ่งเป็น​ อาสารักษาดินแดน (อส.) ทำหน้าที่ลาดตระเวนตลอดทั้งคืน​ตามมาตรการความปลอดภัยขั้นสูงสุด หากใครเข้า-ออกบริเวณที่ตั้งค่าย​ ไม่สามารถตอบคำถาม อส. หรือตอบรหัสผิด มีโอกาสถูกยิงทันที
 
กาลเวลาได้ล่วงผ่านไปถึง 55 ปี แล้ว คนหนุ่มสาวในอดีตก็ได้ล่วงพ้นผ่านวัยสู่การเป็นผู้สูงวัยเช่นกัน แต่ ปณิธาน และ อุดมการณ์ ในการพัฒนาสังคมชนบทยังคงต้องดำเนินต่อไปไม่มีวันสิ้นสุด นิสิตเก่าชาวค่ายได้ผนึกกำลังรวมตัวกันอีกครั้งหนึ่ง ในการก่อตั้งชมรมนิสิตเก่าค่ายอาสาพัฒนา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์โดยมีนายนพดล​ วัดขนาด​ ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานชมรมฯ คนแรก วาระการทำงานปี 2558-2560 ต่อมา ดร.เกลียว​พันธ์​ สุวรรณรักษ์​ ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานชมรมฯ วาระการทำงานปี 2560-2562 และวาระการทำงานปี 2562-2564 ตามลำดับ ชมรมนิสิตเก่าค่ายอาสาพัฒนาได้ดำเนินโครงการค่ายคืนถิ่นตั้งแต่ปลายปี 2558-2564 ดำเนินกิจกรรมมาแล้ว 9 ครั้ง ใช้งบประมาณ  6,523,829.48  บาท  ซึ่งไม่รวมมูลค่าวัสดุก่อสร้างและสิ่งของที่มีผู้บริจาคอีกจำนวนมาก อีกทั้งยังได้ลงนามบันทึกความเข้าใจกับกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดำเนินโครงการส่งเสริมและพัฒนากลุ่มยุวเกษตรกรในโรงเรียนเกษตรศาสตร์อนุสรณ์เพื่อส่งเสริมและพัฒนานักเรียนในโรงเรียนแต่ละแห่งเป็นยุวเกษตรกรที่มีการรวมกลุ่มการทำงานด้านการเกษตร โดยสามารถพึ่งตนเองและนำความรู้และประสบการณ์ไปช่วยเหลือกิจการการเกษตรของครอบครัว

โครงการค่ายคืนถิ่นได้มอบทุนการศึกษา “ทุนเกษตรศาสตร์อนุสรณ์” แก่นักเรียนในโรงเรียนเกษตรศาสตร์อนุสรณ์​ทั้ง​ 78​ แห่ง​ ซึ่งมีทั้งทุนให้ครั้งเดียวและทุนต่อเนื่อง​โดยโรงเรียนคัดเลือกและรับรองเด็กที่ยากจน​ เรียนดี​ มีจิตอาสา​ เข้ารับทุน​ ซึ่งได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่​ปี​ 2559​ จนถึงปัจจุบัน​ได้มอบทุนให้ครบทุกโรงเรียน​แล้ว​ รวมทั้งสิ้น​ 266​ ทุน​ เป็นเงิน​ 828,000​ บาท ​และได้บริจาคเงิน 213, 500​ บาท​ สมทบ​ “กองทุนการศึกษาชมรมนิสิตเก่าค่ายอาสาพัฒนา​มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และศิษย์เก่าโรงเรียนเกษตรประชาตาทวด” บริจาค ​100,000​ บาท สมทบ “กองทุนการศึกษาต่อเนื่อง​โรงเรียนหนองหญ้าปล้องวิทยา” ในโอกาสนี้ ดร.จงรัก วัชรินทร์รัตน์อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้เดินทางไปร่วมกิจกรรมด้วย

ทั้งนี้ชมรมนิสิตเก่าค่ายอาสาพัฒนา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้มอบทุนการศึกษาให้กับโรงเรียนเกษตรศาสตร์อนุสรณ์​ทั้ง 78​ แห่ง​ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น​ 1,141,500​ บาท​
 
คลื่นลูกใหม่ทยอยไล่คลื่นลูกเก่าคนหนุ่มสาวรุ่นปัจจุบันควรศึกษาและเรียนรู้จากคนหนุ่มสาวในอดีตการพัฒนาสังคมชนบทมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศชาติที่นิสิตค่ายอาสาพัฒนามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ต้องมีความศรัทธาและยึดมั่นในอุดมการณ์เพื่อให้ประเทศชาติมีความเจริญมั่นคงและประชาชนมีความเจริญผาสุก
 
……………………………….
คอลัมน์ : ว่ายทวนน้ำ
โดย “ทวีศักดิ์ อุ่นจิตติกุล”