“การเที่ยวคนเดียว คือความสุขที่เราสร้างได้โดยไม่ต้องรอใคร” เป็น “สโลแกน” ของเพจเฟซบุ๊ก “สวัสดีคนแปลกหน้า” ที่มี FC ติดตามล้นหลาม โดยมีจุดเด่นอยู่ที่รูปแบบการนำเสนอเรื่องราวการเดินทาง ที่หญิงสาวคนหนึ่งท่องเที่ยวคนเดียวเพียงลำพัง จนเป็นที่มาของชื่อเพจดังกล่าว ซึ่งวันนี้ “ทีมวิถีชีวิต” จะพาไปพูดคุยกับเธอคนนี้กัน… “ก้อย-ดารณี หิมะสุทธิเดช”

ส่วนใหญ่แล้วนิยามของคำว่าคนแปลกหน้านั้น ในมุมมองของคนอื่นมักจะมองเป็นแง่ลบมากกว่า แต่สำหรับเรา เราคิดว่าคำว่าคนแปลกหน้าจากที่เราได้พบเจอจากการเดินทางไปท่องเที่ยวคนเดียวเพียงลำพัง คือการที่คนไม่รู้จักกัน แต่ช่วยเหลือกัน จนก่อเกิดเป็นมิตรภาพระหว่างทาง ที่เรารู้สึกหลงใหลจนอยากที่จะนำมาถ่ายทอดในมุมบวก

…เป็นเนื้อความจากเสียงใส ๆ ของ “ก้อย-ดารณี” ก่อนที่เธอจะเล่าประวัติสั้น ๆ ให้ “ทีมวิถีชีวิต” ฟังว่า เธอนั้นเกิดและเติบโตที่กรุงเทพฯ โดยเธอเป็นลูกคนกลาง ทั้งนี้ หลังจากที่เรียนจบปริญญาตรี คณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาออกแบบผลิตภัณฑ์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เธอก็เข้าทำงานประจำเป็นพนักงานบริษัท เป็นมนุษย์เงินเดือนเหมือนกับคนทั่ว ๆ ไป ส่วนเรื่องการเดินทางท่องเที่ยวนั้น ก้อยเล่าว่า จริง ๆ เธอเป็นคนชอบท่องเที่ยวแนวธรรมชาติป่าเขา เพียงแต่ช่วงที่ยังเรียนอยู่ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวที่ไหนมากนัก เพราะเธอค่อนข้างเป็นเด็กเรียนมากกว่า จนกระทั่งเรียนจบและเข้าทำงาน เมื่อเริ่มมีเงินเดือน จึงทำให้เธอมีโอกาสได้ไปท่องเที่ยวบ่อยขึ้น โดยส่วนใหญ่จะไปกับกลุ่มเพื่อนในที่ทำงาน และครอบครัวบ้างตามโอกาส แต่ด้วยไลฟ์สไตล์ของคนรอบข้าง ที่ไม่ค่อยมีใครชอบการเที่ยวแนวธรรมชาติ หรือเดินป่าปีนเขาอย่างที่เธอชอบ ทำให้การไปเที่ยวส่วนใหญ่จึงมักจะเป็นการไปเที่ยวที่ชิล ๆ แถมเวลาเธอชวนใครให้ลองไปเดินป่ากับเธอ ก็มักจะได้รับคำปฏิเสธเสมอ

ก้อยบอกอีกว่า ความจริงตอนนั้นเธอเองก็ไม่เคยมีความคิดที่จะเดินทางท่องเที่ยวคนเดียว จนเริ่มมามีความคิดเรื่องการเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวเข้ามาในหัว ก็เพราะอยากลองเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวโดยที่ไม่มีใครรู้จักเธอดูบ้าง แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ยังไม่มีโอกาสได้ทำตามความคิดนี้ จนกระทั่งมาถึงจุดหนึ่งที่เปลี่ยนชีวิตของเธอ ที่เกิดขึ้นจาก “คำพูดของคนรู้จัก” คนหนึ่ง

จุดเริ่มต้นทำให้เราตัดสินใจออกไปท่องเที่ยวคนเดียว เกิดจากคำพูดสบประมาทของรุ่นพี่คนหนึ่ง ที่พูดว่าเราไม่น่าที่จะไปลำบากได้ และไม่กล้าที่จะเดินทางเที่ยวคนเดียวได้ ทำให้เราอยากจะชนะใจตัวเอง เพราะเรามองว่าคนอื่นเขาทำได้ ทำไมเราจะทำไม่ได้ และเราก็อยากจะพิสูจน์ว่าเราก็สามารถทำเรื่องนี้เพื่อลบคำสบประมาทของรุ่นพี่คนนี้

จากแรงผลักดันที่เกิดจากคำสบประมาทนี้เอง ทำให้เธอตัดสินใจ “ลุยเดี่ยวท่องเที่ยวคนเดียว” โดยเริ่มจากการหาข้อมูลว่าการเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวนั้นจะต้องเริ่มจากอะไร จะต้องทำยังไงบ้าง จากนั้นจึงเริ่มศึกษาและมองหาสถานที่ที่จะไปออกทริปคนเดียวครั้งแรก โดยเธอใช้เวลาวางแผนอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ ก็ตัดสินใจเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าออกเดินทางสู่จุดหมายปลายทางทันที โดย “ทริปผู้หญิงลุยเดี่ยว” ของเธอ “สถานที่แรก” ก็คือ “เขาสันหนอกวัว จ.กาญจนบุรี”

ทริปนี้เป็นการเดินป่าระยะไกลครั้งแรก ระยะทางเกือบ 20 กิโลเมตร เดินทางแบบ 2 วัน 1 คืน ซึ่งก็ยอมรับว่าการเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวครั้งแรก เราก็มีความรู้สึกกลัวอยู่บ้าง แต่ก็คิดว่าเราดูแลตัวเองได้ ซึ่งพอได้ไปเจอกับคนที่เขาชอบท่องเที่ยวสไตล์เดียวกัน ทำให้เรารู้ว่ามันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แถมเรายังได้เพื่อนใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นอีกด้วย

…ก้อยเล่าถึงทริปลุยเดี่ยวทริปแรกในชีวิตของเธอ โดยหลังผ่านทริปนี้ก็ทำให้ก้อยได้คำตอบว่า การเที่ยวรูปแบบนี้คือสิ่งที่หัวใจของเธอต้องการมากที่สุด ซึ่งหลังทริปแรกไม่นานเธอก็เริ่มวางแผนทริปต่อไป จนกลายเป็นทริปลุยเดี่ยวของเธออย่างต่อเนื่อง ชนิดที่เรียกว่าออกทริปไปแทบทุกอาทิตย์ อย่างไรก็ตาม ก้อยเล่าย้อนว่า ครั้งแรกที่ตัดสินใจออกท่องเที่ยวคนเดียวนั้น พ่อแม่ของเธอไม่รู้ เธอไม่ได้บอกทั้งสองว่าเธอไปเที่ยวคนเดียว บอกแค่ว่าจะไปเที่ยว เพราะเธอกลัวว่าพ่อแม่จะเป็นห่วงและห้ามไม่ให้เธอไป จนผ่านไปหลายทริป ที่สุดพ่อแม่ก็เริ่มรู้ว่าทุกครั้งของการเดินทางท่องเที่ยวเธอไปคนเดียวเพียงลำพัง ไม่มีเพื่อนหรือคนรู้จักไปด้วย ’ก็มีห่วงบ้างเป็นธรรมดา แต่ท่านก็ไม่เคยห้ามนะ คงเห็นว่าปลอดภัยและเราดูแลตัวเองได้แล้ว“ เธอบอกเรื่องนี้

ส่วนหนึ่งจากที่เธอไปลุยมา

“ทริปที่ท้าทายที่สุด” สำหรับตัวเธอนั้น เธอบอกว่า น่าจะเป็นทริปที่เดินทางขึ้น “เขาโมโกจู จ.กำแพงเพชร” เพราะเป็นทริปที่ต้องเดินป่ารวมทั้งหมด 5 วัน แถมระหว่างทางเธอต้องกินนอนใช้ชีวิตอยู่ในป่ากับคนแปลกหน้าที่ไม่ใช่คนรู้จักเลยสักคนเดียว แต่ถึงแม้จะเป็นทริปวัดใจมากที่สุด ก็เป็นทริปเดินทางที่ทำให้รู้สึกประทับใจมากที่สุดอีกทริปหนึ่งเช่นกัน จนทำให้เธออยากจะนำมาถ่ายทอดสู่หลาย ๆ คนที่อาจจะชอบท่องเที่ยวแนวนี้เหมือนกัน แต่ไม่มีโอกาส หรืออาจจะยังไม่กล้าที่จะออกท่องเที่ยวคนเดียวแบบเธอ เพื่อให้เกิดแรงบันดาลใจและความกล้ามากขึ้น เธอจึงตัดสินใจก่อตั้งเพจเฟซบุ๊ก “สวัสดีคนแปลกหน้า” ขึ้นมา เพื่อหวังให้เป็นพื้นที่แบ่งปันประสบการณ์และเรื่องราวที่เธอนั้นได้เรียนรู้จาก
คนแปลกหน้า

เราเดินทางไปคนเดียว แต่พอไปถึงจุดหมายก็จะเจอกับคนที่มาเที่ยวเหมือนกัน เราก็ไปรวมกลุ่มกับพวกเขา ซึ่งเป็นคนแปลกหน้าที่เราไม่รู้จัก แต่แปรเปลี่ยนสถานะเป็นเพื่อนร่วมทางที่พร้อมช่วยเหลือกัน ทำให้เรารู้สึกว่า ถึงแม้จะมาเที่ยวคนเดียว แต่ความรู้สึกเหมือนมีเพื่อนร่วมทาง มีเพื่อนที่จะเดินไปพร้อมกัน ทำให้เป็นการท่องเที่ยวที่สนุก และได้เพื่อนใหม่ ๆ มิตรภาพใหม่ ๆ กลับมาทุกครั้ง ซึ่งทั้งหมดคือประสบการณ์ล้ําค่าที่หาซื้อจากที่ไหนไม่ได้ ก้อยระบุ

ลุยเดี่ยวไปตามลำธาร – หลับเดี่ยวไปบนรถไฟ

พร้อมบอกอีกว่า การเดินทางคนเดียวทำให้เธอมีความคิดที่เปลี่ยนไปเยอะมาก เช่น เมื่อก่อนเป็นคนที่ไม่ค่อยเข้าหาคนอื่นก่อน แต่พอไปท่องเที่ยวคนเดียว ทำให้เธอปรับเปลี่ยนตัวเอง และทำให้เปิดใจเข้าไปหาคนอื่น หรือกล้าเอ่ยปากทักคนไม่รู้จักกันก่อน และที่สำคัญ “มิตรภาพของคนแปลกหน้า” ระหว่างการเดินทางของเธอนั้น ในจำนวนนี้มี “ชายหนุ่มคนหนึ่ง” ที่ต่อมาได้กลายมาเป็น “คนรู้ใจในปัจจุบัน” ของเธอด้วย โดย ก้อย เล่าเรื่องนี้ว่า สำหรับแฟนของเธอคนนี้ อดีตคือเพื่อนร่วมเดินทางคนแปลกหน้าของเธอ ที่ได้เจอกันในระหว่างออกทริปท่องเที่ยว โดยหลังจากได้ออกทริปท่องเที่ยวกันหลายปี ที่สุดความสัมพันธ์จากเพื่อนร่วมเดินทางก็กลายมาเป็น “คู่ชีวิต” ของเธอ

สำหรับแฟน (บอยอนุสรณ์) ที่เพิ่งแต่งงานกัน ก็เป็นมิตรภาพที่เริ่มต้นมาจากการเดินทาง ตอนนั้นเราไปเจอกับเขาซึ่งมาเที่ยวกับเพื่อน ๆ ที่ผาหินกูบ จ.จันทบุรี เราก็ได้เขาไปจอยกับกลุ่มเขา ครั้งแรกที่เจอก็มีการช่วยเหลือกันดี และหลังจากทริปแรกก็ได้เจอกันบ่อยขึ้น ทำให้เริ่มได้พูดคุยกันมากขึ้น เพราะมีไลฟ์สไตล์แบบเดียวกัน จึงตัดสินใจคบหากัน และก็ตกลงมาใช้ชีวิตร่วมกัน เป็น เส้นทางหวาน ของสาวนักเดินทางลุยเดี่ยว และแฟนหนุ่มนักเดินทางของเธอ

หลังจากที่ ก้อยเดินทางคนเดียวมา 3 ปีกว่า และตะลุย ทริปผจญภัยตามสถานที่และเส้นทางธรรมชาติมามากกว่า 50 แห่ง เมื่อเธอมีครอบครัว และกำลังจะมีลูก ประกอบกับมีงานเข้ามาเยอะขึ้น ก็ทำให้ช่วงปีที่ผ่านมาเธอเริ่มห่างหายจากการไปเดินป่า และไม่ค่อยได้เดินทางคนเดียวแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่เธอรู้สึกเสียดาย แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยืนยันหนักแน่นว่า เมื่อสามารถเคลียร์ภารกิจชีวิตทุกอย่างได้ลงตัวมากขึ้น เธอก็จะหวนกลับไปเดินทางท่องเที่ยวอีกครั้ง เพราะคงทิ้งไม่ได้ แต่อาจจะปรับเปลี่ยนแนวทางการท่องเที่ยวใหม่ เพราะวันนี้เธอไม่ได้มีแค่ตัวเธอเองคนเดียวเพียงลำพังอีกแล้ว

ฮอยอัน ประเทศเวียดนาม

’ตอนนี้เรามีครอบครัว และกำลังมีน้องด้วย ก็เลยอาจจะยังไม่ได้ไปท่องเที่ยวเดินทางเส้นทางธรรมชาติเท่าไหร่ ไม่ได้เดินป่าแบบเดิม แต่เราเป็นคนชอบเที่ยวอยู่แล้ว ก็คงไม่ทิ้งเรื่องนี้ เพียงแต่อาจจะปรับใหม่เป็นแนวการเที่ยวธรรมชาติแบบชิล ๆ หรืออาจจะเป็นแนวแคมปิ้งมากขึ้น“ ก้อยกล่าว

ก่อนจบการสนทนากัน “ก้อย-ดารณี” เจ้าของเพจเฟซบุ๊ก “สวัสดีคนแปลกหน้า” บอกกับ “ทีมวิถีชีวิต” ว่า แม้เธอจะเดินทางผจญภัยเส้นทางธรรมชาติและป่าเขามาหลากหลายที่ แต่ เมืองไทยมีแหล่งท่องเที่ยวมากมายที่ยังคงซุกซ่อนอยู่และรอคอยให้นักเดินทางเข้ามาค้นหา อย่าง “ผืนป่าภาคใต้” ที่มีอีกหลายแห่งที่เธอยังไม่เคยมีโอกาสไปสัมผัส ก็เป็นอีกหนึ่งจุดหมายที่เธอหวังที่จะมีโอกาสได้ไป “สัมผัสเสน่ห์เมืองไทย” เหล่านี้ โดยเธอย้ําว่า… แม้ว่าสถานภาพส่วนตัวเธอจะเปลี่ยนไป จาก “สาวโสด” จนกลายเป็น “ว่าที่คุณแม่” แล้วก็ตาม แต่เธอก็ยืนยันว่า… เธอไม่มีทางที่จะทิ้งการเดินทางท่องเที่ยว เพราะสิ่งนี้เป็น…

ลมหายใจและชีวิตเธอ.

‘ต้องกล้า..ต้องเปิดใจ + ต้องเซฟ’

“ก้อย-ดารณี” สาวแอดมินเพจคนเดิมบอกว่า การเดินทางเดินป่าคนเดียวสำหรับผู้หญิงนั้น แน่นอนย่อมเป็นเรื่องที่ดูน่ากลัว เพราะเวลาเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวผู้หญิงก็จะต้องมีความระมัดระวังมากกว่าผู้ชาย แต่ถึงกระนั้นเรื่องนี้ก็ไม่ได้ยากเกินไปจนทำให้ผู้หญิงคนเดียวเดินทางท่องเที่ยวไม่ได้ สิ่งสำคัญคือ “ต้องกล้า-ต้องเปิดใจ” ว่าการเที่ยวคนเดียวไม่ได้น่ากลัวและอันตรายอย่างที่คิด แต่ถึงกระนั้นก็ “ต้องเซฟตัวเองเอาไว้ด้วย” โดยการพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ปลอดภัย และควรแต่งกายให้มิดชิด ไม่ควรแต่งตัวให้เป็นเป้าสายตาหรือจุดสนใจ…

ทริปที่ท้าทายที่สุด

คติประจำตัวของก้อยคือ ยึดหลักปลอดภัยไว้ก่อน ซึ่งการที่ต้องเดินทางร่วมกับคนแปลกหน้าที่ไม่เคยเจอหรือรู้จักกันมาก่อน เราก็ไม่ควรจะให้ความไว้วางใจมากเกินไป เช่น ไปฝากกระเป๋า หรือกินของที่คนอื่นนำมาให้ ที่สำคัญคืออย่าลืมบอกให้คนทางบ้านรู้ถึงความเคลื่อนไหวเป็นระยะ และต้องมีสติต้องเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเอง

และที่สำคัญอีกอย่างคือต้องคิดแผนรับมือสถานการณ์ไม่คาดคิดเอาไว้ด้วย“.

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : รายงาน