เมื่อวันที่ 23 ก.ย.เมื่อช่วงเย็นวานนี้ ที่ศูนย์แสดงนิทรรศการและการจัดประชุมนานาชาติสมเด็จพระนเรศวรมหาราชอาคารอุทยานองค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช มหาวิทยาลัยนเรศวร อ.เมือง จ.พิษณุโลกนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการกัญชาทางการแพทย์เขตสุขภาพที่ 2 และปาฐกถาพิเศษ เรื่อง สถานการณ์กัญชาทางการแพทย์ของประเทศไทยทางเลือกในอนาคต โดยมีผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข หน่วยงานภาครัฐ อสม.และประชาชนเข้าร่วมงาน กว่าร่วมงานกว่า 4,000 คน

นายอนุทิน กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมีเป้าหมายหลักในการปลดล็อกกัญชา ออกจากการเป็นยาเสพติด คือ 1.เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากกัญชาทางการแพทย์อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งได้รับความร่วมมือจากกรมด้านวิชาการ ทั้งกรมการแพทย์กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก และกรมสุขภาพจิต ร่วมกันกำหนดแนวทางการใช้ประโยชน์จากกัญชาทางการแพทย์ จัดอบรมและจัดสอบขึ้นทะเบียนผู้สั่งใช้สารสกัดกัญชาทางการแพทย์

2.ผลักดันให้กัญชาเป็นพืชเศรษฐกิจของชุมชนเปิดโอกาสให้ประชาชนรวมตัวกัน เป็นวิสาหกิจชุมชนขออนุญาตปลูกเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้ทั้งระดับครัวเรือน วิสาหกิจชุมชน และระดับประเทศเกิดรายได้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ

และ3.เปิดโอกาสให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์จากกัญชาอย่างเหมาะสม สิ่งสำคัญที่สุดคือให้ประชาชนได้เข้าถึงบริการกัญชาทางการแพทย์เป็นทางเลือกในการรักษา ทั้งการแพทย์แผนปัจจุบัน และเป็นส่วนผสมในยาแผนไทยไม่ใช่เพื่อสันธนาการ ซึ่งมีกฎหมายที่จะช่วยควบคุมกำกับทั้ง พ.ร.บ.การสาธารณสุขประกาศกรมอนามัย และประกาศกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเพื่อป้องกันการนำมาใช้ในทางที่ผิด

นายอนุทิน กล่าวว่า ในสัปดาห์ที่แล้ว มีพรรคการเมือง 3 พรรค ได้แก่ พรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ ที่รวมตัวกันไม่เห็นชอบที่จะนำกฎหมายกัญชาออกมาใช้ ซึ่งตนก็คิดว่า เป็นเรื่องของระบบประชาธิปไตย ก็ต้องทำตามในสภาแต่กฎหมายหลักในการปลดล็อกกัญชาออกจากยาเสพติดก็ยังอยู่ ประชาชนยังสามารถปลูกกัญชาผลิตยา อาหาร เครื่องดื่ม จากกัญชา ได้เช่นเดิม

ส่วนกรณีที่ครม.ไม่มีการพิจารณาร่างกฎหมายกัญชานั้น นายอนุทิน กล่าวว่า  จะเห็นได้ว่านโยบายกัญชา ของกระทรวงสาธารณะสุข ก็ยังดำเนินต่อไป เพราะเราใช้กฎหมายกระทรวงสาธารณสุข ในการกำกับดูแลการใช้กัญชง กัญชาทางการแพทย์ให้ถูกวิธี ยืนยันว่าข้อกังวลต่าง ๆ ในเรื่องที่จะนำกัญชาไปใช้ในการเฮฮาปาร์ตี้ ไม่มีอย่างแน่นอน แม้กระทั่งในร่างกฎหมายของพรรคภูมิใจไทย ก็ไม่มีเรื่องการนำกัญชาไปใช้ในการบันเทิงหรือสันทนการ ดังนั้นความกังวลที่ว่า เมื่อไม่มีการพิจารณากฎหมายกัญชาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วไม่ได้หมายความว่ากัญชาจะใช้ไม่ได้  เจตนารมณ์ของกระทรวงสาธารณสุข คือการปลดกัญชาออกจากการเป็นยาเสพติดได้ทำไปเรียบร้อยแล้ว กัญชาไม่ใช่ยาเสพติดอีกต่อไป  เพียงแต่ว่ากฎหมายที่จะนำมาควบคุม ยังไม่ได้รับการพิจารณาจากสภาฯเท่านั้น

ถึงแม้จะยังไม่ได้รับการพิจารณาจากสภาฯ ก็ใช้กฎหมายของกระทรวงสาธารณสุขควบคุม ซึ่งไม่เป็นการลิดรอนสิทธิใด ๆ ของชาวบ้าน ไม่เป็นการก่อให้เกิดการใช้อย่างเสรีในทางที่ไม่ถูกต้อง ทุกอย่างก็เป็นเหมือนเดิม จนกว่าสภาฯจะพิจารณาร่างกฎหมายที่เราเตรียมไว้อย่างพร้อมแล้ว ในสมัยประชุมสภาฯ ครั้งต่อไปประมาณเดือน พ.ย.หรือ ธ.ค.นี้ ถ้าไม่พิจารณาอีกก็ไม่เป็นไร เพราะเรามีกฎหมายของกระทรวงสาธารณสุขมีอยู่และกัญชาก็ไม่ได้เป็นยาเสพติดอีกต่อไป เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจประเด็นด้วยไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อการใช้กัญชา