เมื่อวันที่ 30 ก.ย. ที่ศูนย์รับแจ้งความ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม นำเอกสารหลักฐานเข้ายื่นหนังสือถึง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป. เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีอาญากับ พ.ต.อ.นิมิตร นูโพนทอง ผกก.สน.ลุมพินี และ พ.ต.ต.สุทวัฒน์ ศรีพรวรรณ์ พนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี หลังใช้ตำแหน่งหน้าที่แกล้งให้ต้องรับโทษหรือรับโทษหนักขึ้น โดยมี พ.ต.ท.ภูริต ศรีบุญเรือง สว.สอบสวน กก.3 บก.ปปป. เป็นตัวแทนรับมอบ

นายอัจฉริยะ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 16 ก.ย.65 พ.ต.ท.ปุณณริศร์ ธารานันทร์เศรษฐ์ คณะพนักงานสอบสวนที่แต่งตั้งโดย บก.น.5 ได้นัดชี้แจ้งข้อเท็จจริงในคดีอาญาที่ 400/2564 โดยทราบผู้กล่าวหาแจ้งความดำเนินคดีกับตนในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา แต่ข้อความดังกล่าวเป็นถ้อยคำดูหมิ่นเหยียดหยาม โดยเฉพาะคำว่า โง่ เคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเป็นเพียงถ้อยคำลักษณะดูหมิ่นเหยียดหยาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393 มีโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งคดีมีอายุความร้องทุกข์กล่าวโทษได้ภายใน 1 ปี แต่ผู้กล่าวหาระบุว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้นวันที่ 2 มิ.ย.64 ช่วงเวลา 12.30 น. ถึงเวลาประมาณ 13.15 น. ทำให้ครบอายุความร้องทุกข์กล่าวโทษตามกฎหมาย

นายอัจฉริยะ กล่าวต่อว่า แต่หลังจากนั้นทาง พ.ต.อ.นิมิตร และ พ.ต.ต.สุทวัฒน์ สั่งให้พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาตน ทั้งๆ ที่พยายามอธิบายว่าคดีหมดอายุความไปแล้ว และเคยให้ถ้อยคำกับ พ.ต.ท.ปุณณริศร์ ไปแล้วเช่นกัน แต่ทาง พ.ต.อ.นิมิตร ท้วงติงว่าคดีอาญา 400/2564 ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา แต่เป็นความผิดตามมาตรา 393 ตนจึงเห็นว่านายตำรวจทั้ง 2 รู้อยู่แล้วว่าตนไม่ได้กระทำความผิดในคดีนี้ และมีเจตนากลั่นแกล้งให้ได้รับโทษทางอาญา จึงต้องร้องทุกข์กล่าวโทษให้บก.ปปป. ดำเนินคดีอาญากับ พ.ต.อ.นิมิตร และ พ.ต.ต.สุทวัฒน์ ในฐานความผิดมาตรา 200 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งพนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา เพื่อจะแกล้งให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดต้องรับโทษ หรือรับโทษหนักขึ้น จนกว่าคดีจะถึงที่สุด.