เรียกได้ว่ายังคงความเศร้าสลดสำหรับคนไทยและคนทั่วโลก สำหรับ “โศกนาฏกรรมแห่งแผ่นดิน” จากเหตุการณ์กราดยิงในพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภู ที่สร้างบาดแผลในสังคมจนยากจะเยียวยา…

ทำให้ทุกฝ่ายต้องหันมาถอดบทเรียนจากสิ่งที่เกิดขึ้น จึงได้เห็นภาพ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม นั่งหัวโต๊ะประชุมกำหนดมาตรการเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหายาเสพติดและการครอบครองอาวุธปืน โดยมีรัฐมนตรีหลายกระทรวง และหัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม เพื่อล้อมคอกยกระดับเข้ม

แม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะเกี่ยวพันกับปัญหายาเสพติดและอาวุธปืนก็จริง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นรากเหง้าของปัญหาที่แท้จริงมาจากสังคมเสื่อมทราม จนทำให้เกิดวงจรอุบาทว์จากความเหลื่อมล้ำของสังคม ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อครอบครัวและสังคมรอบข้าง นำไปสู่การก่อเหตุรุนแรงเพื่อเอาคืนสังคม และเมื่อถูกซ้ำเติมด้วยสภาวะเศรษฐกิจถดถอย จนขยายช่องว่างความเหลื่อมล้ำมากขึ้น จนอาจนำไปสู่การเอาคืนสังคมมากยิ่งขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นโจทย์สำคัญ ที่จะต้องมาแก้ไขกันอย่างบูรณาการ และเอาจริงเอาจังเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงขึ้นซ้ำรอยอีก

ทั้งนี้เรื่องดังกล่าวอาจจะเป็น “โอกาสสุดท้าย” ที่รัฐบาลจะกู้วิกฤติศรัทธาได้ในห้วงเวลาหลังจากนี้ ซึ่งหากรัฐบาลสามารถคิดโมเดลในการแก้ปัญหาอย่างบูรณาการได้ออกมาตอบโจทย์ อย่างที่ประชาชนอยากเห็น ก็จะสามารถเพิ่มความเชื่อมั่น และดึงรัฐบาลพ้นจากวิกฤติศรัทธาที่กำลังประสบอยู่ในขณะนี้ได้

สถานการณ์วิกฤติศรัทธาที่รัฐบาลกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ เรียกได้ว่าเข้าขั้นว่า “วิกฤติระยะสุดท้าย” เลยก็ว่าได้ เพราะตอนนี้ไม่ว่าคนในรัฐบาล ตลอดจนคนในพรรคพลังประชารัฐ ที่เป็นพรรคแกนหลักของรัฐบาล ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนก็คงจะได้ยินคำติเตียนมากกว่าคำชม! จนทำให้คนในพรรคพลังประชารัฐหลายต่อหลายคนรู้ตัวดี และเตรียมเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าโบกมือลาบ้านเก่า เตรียมไปซบพรรคใหม่ที่มีอนาคตทางการเมืองที่ดูสดใสกว่า ซึ่งท่ามกลางบรรยากาศการลั่นกลองรบสู่ศึกเลือกตั้งของพรรคการเมืองแต่ละพรรค ที่กำลังเป็นไปอย่างฮึกเหิมนั้น กลับสวนทางกับบรรยากาศในพรรคพลังประชารัฐ ที่เกิดกระแสข่าวการย้ายพรรคกันพัลวัน จนถึงขั้นข่าวลือพรรคแตก!

เพราะในช่วงที่ผ่านมามีข่าวลือหนาหูถึงการเตรียมทิ้งพรรคพลังประชารัฐของหลายกลุ่ม ทั้ง ส.ส.กลุ่มกรุงเทพฯ ที่อยู่กับ พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ อดีตรองหัวหน้าพรรค ที่มีข่าวเตรียมย้ายซบพรรคภูมิใจไทย รวมทั้งกลุ่ม “บ้านริมน้ำ” ที่นำโดย สุชาติ ตันเจริญ ที่มีข่าวว่าอาจจะย้ายกลับรังเก่าอย่างพรรคเพื่อไทย เช่นเดียวกับกระแสข่าว “กลุ่มสามมิตร” จะย้ายไปสังกัดพรรคเพื่อไทย นอกจากนี้ยังมีกลุ่มอื่นที่เคลื่อนไหวแบบยังไม่มีข่าว

แม้งานนี้ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ จะออกมาประกาศยืนยันว่าพรรคพลังประชารัฐ เหนียวแน่นไม่มีส.ส.ย้ายพรรค ตลอดจนมีการออกมาปฏิเสธข่าวย้ายพรรคกันตามระเบียบ แต่วันนี้สนามเลือกตั้งยังไม่เปิด ดังนั้นทุกอย่างก็ยังมีมีการมีการเปลี่ยนแปลงที่คว่ำพลิกหงายได้ตลอดเวลา!

ปรากฎการณ์วิกฤติศรัทธาที่เกิดขึ้น กำลังจะกลายเป็นสงครามครั้งใหม่ที่จะนำรัฐบาลไปสู่เดตโซนทางการเมือง ถ้า “พี่น้อง 3ป.” ยังไม่ทำอะไร และมัวแต่มานั่งง้อกันทุกวัน อย่างปรากฏการณ์ที่ “บิ๊กตู่” โชว์ความมุ้งมิ้งโอบพุง “บิ๊กป้อม” ภายหลังการประชุม ครม. ภายหลังมีข่าวลือ “บิ๊กตู่” เตรียมจะไปอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติ

ซึ่งการที่ “พี้ใหญ่-น้องเล็ก” ง้องอนกันไม่เว้นแต่ละวันแบบนี้ นอกจากไม่ได้เป็นประโยชน์ในทางการเมืองแล้ว ยังอาจนำไปสู่ความพ่ายแพ้ในศึกเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น! เพราะสิ่งที่รอ “พี่น้อง 3ป.” อยู่เบื้องหน้าคือ “เกมแลนด์สไลด์” ของพรรคเพื่อไทย และยังเพิ่มเติมด้วยกระแสศรัทธาของ พรรคก้าวไกล ที่เพิ่มขึ้นมาแบบเงียบๆ สะท้อนได้จากยอดเงินบริจาคของพรรคก้าวไกล ประจำปีภาษี 2564 ที่มีขึ้นแท่นเป็นพรรคอันดับหนึ่ง มียอดบริจาคกว่า 27.5 ล้านบาท เพิ่มจากปี 2563 เป็นเท่าตัว ซึ่งแน่นอนว่าคนที่บริจาคภาษีให้พรรคก้าวไกลจำนวนนี้ มีความเป็นไปได้สูงที่จะเลือกพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ขณะที่ยอดบริจาคภาษีของพรรคแกนนำรัฐบาลทั้งพรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชารัฐรวมแล้วยังได้ไม่ถึงครึ่งของยอดบริจาคให้พรรคก้าวไกล จนทำให้มองได้ว่าก้อนคะแนนนิยมทางการเมืองในขณะนี้ เทไปกระจุกอยู่ที่พรรคฝ่ายค้านมากกว่าพรรคฝ่ายรัฐบาล ซึ่งจะกลายเป็นโจทย์ยากของรัฐบาลในการเลือกตั้งครั้งหน้า

อย่างไรก็ตามขณะนี้แต่ละพรรคเริ่มทำนโยบายออกมานำเสนอต่อประชาชนกันมากยิ่งขึ้น พร้อมโยนโจทย์รายชื่อบุคคลสำคัญออกมาถามสังคม เพื่อเช็คเรตติ้งในลักษณะ “โยนหินถามทาง” อย่างกรณีพรรคเพื่อไทยหลังจากเปิดตัว “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร เป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย แม้จะยังไม่มีการปักหนุดเป็นแคนดิเดตนายกฯ อย่างเป็นทางการก็ได้รับเสียงสนับสนุนอย่างล้นหลาม และล่าสุดก็มีการเปิดอีกรายชื่อคือ เศรษฐา ทวีสิน เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง ที่มีโปรไฟล์เป็นนักธุรกิจระดับหมื่นล้าน ซึ่งถูกจับตามองว่าจะเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์เกี่ยวกับเรื่องการแก้ปัญหาปากท้องและวิกฤติเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดีในสภาวะปัจจุบัน

แถมยังเพิ่มเติมด้วยการดึง “ผู้กองธรรมนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เข้ามาผนึกกำลังสู้ แม้จะต้องเจอกับเกมต้านจากภายในพรรค ด้วยความกังวลว่าจะกระทบกับภาพลักษณ์ของพรรค แต่งานนี้ “โทนี่ วู้ดซัม” ทักษิณ ชินวัตร เองก็ไม่ได้ออกมาปฏิเสธเต็มคำเสียทีเดียว โดยพูดเพียงว่า ยืนยันไม่มีดีลแน่นอน ไม่มีหน้าที่อะไรต้องไปดีล แต่ก็มีการพูดปลายเปิดอย่างมีนัยสำคัญว่า ศิษย์เก่าไทยรักไทยทั้งหลาย ถ้าคนไหนออกไปไม่เป็นปฏิปักษ์กับพรรคแล้วอยากกลับมา ก็ไม่น่าเสียหายอะไร

จากวิกฤติศรัทธาของพรรคพลังประชารัฐ บวกกับความเข้มแข็งของพรรคฝ่ายค้าน จึงกลายเป็นโจทย์หลักที่รอ “พี่น้อง 3ป.” พิสูจน์บารมีทางการเมืองในการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งคงเป็นไปอย่างลุ้นระทึก!

ขณะที่ “เกมบีบปรับ ครม.” ก็หนักหน่วงขึ้นทุกขณะ หลังจากพรรคประชาธิปัตย์ประชุมเดือด จนเคาะเลือก นริศ ขำนุรักษ์ ส.ส.พัทลุง มานั่งตำแหน่ง มท.3 แทน นิพนธ์ บุญญามณี ที่ลาออกไป ด้วยความหวังเตรียมตัวสู้ศึกเลือกตั้ง ฟื้นศรัทธาจากประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ ที่ตอนนี้กำลังเจอพรรคการเมืองหลายพรรครุมกินโต๊ะ หวังโค่นฐานเสียงเดิมของพรรคค่ายสีฟ้า

โดยล่าสุด จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวเรือใหญ่พรรคประชาธิปัตย์ ได้แจ้งมติพรรคเรื่องดังกล่าวให้ “บิ๊กตู่” ได้ทราบแล้ว แต่ได้รับคำตอบกลับว่าให้รอก่อน ซึ่งสาเหตุที่ต้องรอในบริบทนี้ เกิดจากปัญหาการคุยกันไม่ลงตัวในการเกลี่ยอำนาจจัดคนลงตำแหน่งใน ครม. ระหว่าง “พี่ใหญ่-น้องเล็ก” หรือไม่ จึงทำให้เกิดอาการง้องอนกันอยู่ทุกวัน ซึ่งสุดท้ายก็คงอยู่ที่ “พี่ป้อม-น้องตู่” และพรรคพลังประชารัฐที่จะต้องเคลียร์กันให้ลงตัว

ขณะที่พรรคที่ลอยตัวจากปัญหาแรงกระเพื่อมจากการปรับ ครม. ก็คือพรรคภูมิใจไทย ที่เลือกไม่ส่งชื่อปรับ ครม.ในตำแหน่ง รมช.ศึกษาธิการ ที่ กนกวรรณ วิลาวัลย์ ถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่อยู่ แต่เลือกที่จะเตรียมทัพสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้าแทน

ถึงแม้สถานการณ์ข้างหน้าดูจะเป็นงานหนักสำหรับ “พี่น้อง 3 ป.” แต่อย่างไรก็ตาม หากประเมินจากบริบทการเมืองในตอนนี้ ยังมีความเป็นไปได้สูงที่ “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” จะยังไปต่อบนเส้นทางอำนาจ เพราะยังมั่นใจในการคุมเสียง 250 ส.ว. ในการโหวตเลือกนายกฯ หลังการเลือกตั้ง โดยมีการมองกันว่า “บิ๊กตู่” จะนั่งตำแหน่งนายกฯ ไปอีกครึ่งเทอมจนครบวาระดำรงตำแหน่ง และมีแนวโน้มที่ “บิ๊กป้อม” จะเป็นคนเข้ามารับไม้ต่อในตำแหน่งนายกฯ ครึ่งเทอมหลัง โดยที่โมเดลอำนาจพรรคร่วมรัฐบาลยังเป็นพรรคการเมืองจากขั้วเดิม

แต่สุดท้ายแล้วคงจะต้องจับตาดูกันต่อไป เพราะหากว่าด้วยเรื่องทางการเมืองและเกมอำนาจแล้ว ไม่มีอะไรแน่นอน…ดังนั้นอะไรก็เกิดขึ้นได้!