สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเคียฟ ประเทศยูเครน เมื่อวันที่ 19 ต.ค. ว่า ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี กล่าวว่า ปฏิบัติการทางทหารครั้งใหญ่ระลอกใหม่ของรัสเซีย ที่เกิดขึ้นตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว สร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้าของยูเครน “ประมาณ 30%” และเตือนชาวยูเครนเพิ่มการตื่นตัวและเตรียมความพร้อมรับมือ กับภาวะขัดข้องด้านกระแสไฟฟ้า น้ำประปา และระบบทำความร้อน เนื่องจากการโจมตีของกองทัพรัสเซีย “หนักหน่วงขึ้นอย่างต่อเนื่อง”


ขณะเดียวกัน เซเลนสกียืนยันว่า รัฐบาลเคียฟจะไม่มีทางเจรจาโดยตรงกับรัฐบาลรัสเซียของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ซึ่งถือเป็น “รัฐก่อการร้าย” ทั้งนี้ ปูตินกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า เขาสั่งให้กองทัพปฏิบัติการโจมตีเป้าหมายที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานในยูเครน “เพื่อตอบโต้อย่างชอบธรรม” ต่อการที่รัฐบาลเคียฟอยู่เบื้องหลัง เหตุระเบิดรถบรรทุก บนสะพานข้ามช่องแคบเคิร์ช เชื่อมระหว่างคาบสมุทรไครเมียกับแผ่นดินใหญ่รัสเซีย เมื่อต้นเดือนนี้ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย

ประชาชนจับจ่ายซื้อของท่ามกลางความมืดมิด ที่ร้านค้าแห่งหนึ่ง ในกรุงเคียฟ เมืองหลวงของยูเครน


ทั้งนี้ ยูเครนและสหรัฐ ตลอดจนพันธมิตรตะวันตก ยังคงเดินหน้ากล่าวหารัสเซีย ว่าได้รับความสนับสนุน “โดรนกามิกาเซ่” จากอิหร่าน หนึ่งในนั้นคือโดรน “ชาเฮด-136” ซึ่งรัฐบาลเตหะรานยืนกรานปฏิเสธ ขณะที่นายดมิทรี เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน กล่าวถึงเรื่องนี้เป็นครั้งแรกว่า อาวุธที่กองทัพรัสเซียใช้ปฏิบัติการในยูเครน “เป็นอาวุธที่ตั้งชื่อตามระบบของรัสเซียเท่านั้น”


ด้านนายดมิโทร คูเลบา รมว.การต่างประเทศยูเครน กล่าวว่า ได้เสนอคำร้องให้เซเลนสกีพิจารณา เพื่อยุติความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิหร่าน หลังลดระดับความสัมพันธ์ เมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา ด้วยการเพิกถอนสิทธิทางการทูตของเอกอัครราชทูตอิหร่าน และลดจำนวนเจ้าหน้าที่การทูตของสถานเอกอัครราชทูตอิหร่านประจำกรุงเคียฟ.

เครดิตภาพ : REUTERS