เมื่อวันที่ 1 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊ก พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) โพสต์จดหมายฉบับที่ 4 อธิบายการทำงานในอดีตจนถึงปัจจุบัน บทที่ 1 จิตวิญญาณในความจงรักภักดีจากอดีต ถึงปัจจุบัน ข้อความว่า ผมพูดไม่เก่ง แต่ใครที่ใกล้ชิดจะรับรู้ว่ารับฟังมากมาตลอด ในช่วงหลังซึ่งเป็นผลจากการระดมคนมีความรู้ความสามารถมากมายมาช่วยสร้างพรรคพลังประชารัฐ ให้เป็นสถาบันการเมือง ที่จะเป็นทางออกที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริงให้กับประเทศเรา ยิ่งตั้งใจรับฟังทุกคนทุกฝ่ายที่เข้ามาทำงานร่วมกัน และการรับฟังทำให้มองเห็นว่ามีหนทางเดียวเท่านั้นที่ประเทศเราจะก้าวพ้น กับดัก อันเป็นอุปสรรคของการพัฒนาประเทศนำพาประชาชนสู่ชีวิตที่ดีงาม จึงเริ่มด้วยการเล่าให้ฟังว่า ผมเกิดในครอบครัวที่คุณพ่อเป็นนายทหารระดับสูง เติบโตมาในสังคมคนในกองทัพ วัยเด็กผมเรียนและจบจากโรงเรียนเซนต์คาเบรียล

จากนั้นเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร จบโรงเรียนนายร้อย จปร. รับราชการทหารและเติบโตมาจากกองทัพภาคที่ 1 โดยเฉพาะในสังกัดกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ (ร.21 รอ.) หรือคนส่วนใหญ่รู้จักในนามทหารเสือราชินี ให้ลองคิดดูว่าคนหนึ่งที่ถูกหล่อหลอม และปลูกฝังมาด้วยสังคมแวดล้อม ระบบการศึกษา มีหน้าที่การงานแบบนี้ จะมีจิตวิญญาณแบบไหน ซึ่งความจงรักภักดีที่มีต่อ “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” เป็นสภาวะที่ฝังลึกอยู่ในจิตวิญญาณ เป็นกระแสจิตที่ส่งให้ทุกคนสัมผัสถึงและรับรู้ได้โดยไม่ต้องเอ่ย และดำเนินอยู่ด้วยจิตวิญญาณนี้ตลอดมาและตลอดไป เพราะผมถูกหล่อหลอมชีวิตขึ้นมาด้วยความเป็นทหารอาชีพ จากทหารชั้นผู้น้อย เติบโตมาจนเป็นผู้บัญชาการกองทัพ

พล.อ.ประวิตร ระบุว่าการเฝ้ามอง รับรู้ และครุ่นคิดถึงความเป็นไปของประเทศชาติ โดยเฉพาะในมุมของการเมือง นิสัยอย่างหนึ่งคือ ชอบอยู่ท่ามกลางญาติมิตร เพื่อนพ้องน้องพี่ ใครที่รู้จัก หรือใกล้ชิดจะรู้ว่า บ้านผมเป็นแหล่งรวมการใช้ชีวิตร่วมกันของพี่น้อง เพื่อนฝูงมาตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือทำงานรับใช้ราชการ เป็นที่พบปะหารือ ช่วยเหลือเกื้อกูล มีอะไรก็แบ่งกันกิน แบ่งกันใช้ ปรึกษาแลกเปลี่ยนความคิดกัน ยิ่งเติบโตในตำแหน่งหน้าที่เครือข่ายก็ขยายกว้างขึ้น ยิ่งมีบทบาทเกี่ยวข้องกับความเป็นไปของประเทศยิ่งพบปะ สังสรรค์ เกี่ยวข้องกับผู้คนมากขึ้น ทำให้ได้รับรู้ว่า ประเทศไทยมีผู้ที่มีคุณค่าอยู่มาก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประสบความสำเร็จในการสร้างชีวิต ผู้มีความเจริญก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงาน ประสบความสำเร็จในการประกอบธุรกิจ ทั้งที่เป็นข้าราชการ และภาคเอกชนจากบริษัทห้างร้าน ผู้มีความรู้ ความสามารถเหล่านี้ มีไม่น้อยเลยที่มีเจตนาดี มีจิตใจที่พร้อมจะเสียสละมาทำงานเพื่อประเทศชาติ

หากรัฐสภาและรัฐบาลได้คนมีความรู้ความสามารถเหล่านี้เข้ามาร่วมงาน จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการนำพาประเทศพัฒนาสู่ความเจริญรุ่งเรือง แต่ที่เกิดขึ้นกับความเป็นไปของประเทศคือ โอกาสที่คนเหล่านี้จะได้เข้ามาร่วมทำงานให้กับประเทศนั้นมีน้อยมาก หรือแทบไม่มีหนทาง ระบอบประชาธิปไตยของประเทศกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ที่ปิดกั้นพวกเขา การแข่งขันทางการเมืองที่มุ่งเอาชนะคะคานสูงยิ่ง ทำให้ทุกคนที่คิดจะเข้ามาเสี่ยงกับการเป็นเป้าถูกโจมตี ทำลายล้างความคิดที่จะเสียสละมาทำงานเพื่อชาติกลายเป็นเปิดทางให้ตัวเองถูกทำลาย

ดังนั้นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว ทำใจยอมรับความเสี่ยงจากการร่วมทำงานการเมืองกับนักการเมืองในวัฒนธรรมมุ่งทำลายเช่นนี้ไม่ได้ แม้จะมีบางคนที่กล้าพอจะเข้ามา แต่วัฒนธรรมการเลือกตั้งของบ้านเรา ไม่เอื้อให้คนมีความสามารถเหล่านี้ได้รับชัยชนะ เนื่องจากไม่มีความสามารถในการหาคะแนนเท่ากับ ผู้มีอาชีพนักการเมือง ที่มีความเชี่ยวชาญในการหาวิธีได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งมากกว่า

พล.อ.ประวิตร ระบุอีกว่า คนมีความรู้ ความสามารถ และมีเจตนาดีต่อการพัฒนาประเทศเหล่านี้ แทบไม่เหลือโอกาสที่จะเข้ามาทำงานให้ประเทศในระบบที่อำนาจต้องผ่านการเลือกตั้ง ตามที่ฝ่าย ประชาธิปไตยเสรีนิยม มุ่งมั่น กำหนด จึงมีคนกลุ่มหนึ่ง โดยเฉพาะฝ่าย อนุรักษ์นิยม ที่มองไม่เห็นหนทางอื่นที่จะนำผู้มีความรู้ความสามารถเข้ามาร่วมกันทำงานให้กับประเทศชาติ นอกจากการทำ รัฐประหาร ยึดอำนาจและเปิดโอกาสให้คนมีความรู้ ความสามารถ ด้วยการแต่งตั้งคนเหล่านี้เข้ามา การเรียกร้องให้ กองทัพ เป็นผู้นำทำรัฐประหาร และจัดตั้งคณะรัฐมนตรีที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาบริหารจัดการประเทศจึงเกิดขึ้นเสมอ และต้องยอมรับว่าการรัฐประหารหลายครั้งในประวัติศาสตร์ เป็นทางออกที่ประชาชนจำนวนไม่น้อย เห็นว่าส่งผลดีต่อประเทศ

สมัยของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นี่เป็นประสบการณ์ และมุมมองที่ทำให้ผมเข้าใจ เห็นใจ และพร้อมจะยืนอยู่ข้างความปรารถนาดีต่อประเทศชาติ ของคนกลุ่มที่มีอิทธิพลและส่วนได้ส่วนเสียสูงกับความเป็นไปของประเทศ ของผู้มีความรู้ความสามารถ แต่ไม่มีโอกาสแสดงบทบาท เพราะผ่านการเลือกตั้งจากประชาชนได้ยากลำบาก จนเป็นที่น่าเสียดายเหล่านี้ แต่นั่นเป็นประสบการณ์ช่วงรับราชการทหารหลังจากเข้ามาทำงานการเมือง ในฐานะรัฐมนตรี และจัดตั้งพรรคพลังประชารัฐ และเห็นความเป็นจริงครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง พรรคการเมืองที่ได้รับชัยชนะ นักการเมืองที่ประชาชนส่วนใหญ่เลือกเข้ามาเป็นคนอีกพวกหนึ่ง

ตลอดเกือบ 10 ปีของการทำงานในฐานะนักการเมือง จากร่วมรัฐบาลเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จนถึงมาร่วมสร้าง และเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แม้จิตวิญญาณยังมั่นคงกับ สำนึกอนุรักษ์นิยมแต่ความเข้าใจต่อความจำเป็นที่ประเทศต้องเดินหน้าไปด้วย ประชาธิปไตยเสรีนิยม ได้เกิดขึ้นอย่างลึกซึ้ง ซึ่งผมจะเล่าให้ฟังในตอนต่อๆ ไปถึงความเข้าใจต่อความจำเป็นดังกล่าว และบอกเล่าถึงความเชื่อมั่นของผมว่าจะประสาน “จิตวิญญาณอนุรักษนิยม” อันหนักแน่นของผม ให้เดินหน้าอย่างเข้าใจความจำเป็นของประเทศที่ต้องขับเคลื่อนด้วย ประชาธิปไตย ได้อย่างไรจะบอกต่อไป ให้ทุกคนมั่นใจว่า ผมทำได้ และจะทำอย่างเต็มที่ หากได้รับโอกาส