ภายหลังจากเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายรามา รัศมีรามา หรือ เมฆ สามีนักแสดงสาวชื่อดัง หยาดทิพย์ ราชปาล ได้มอบหมายให้ทนายความส่วนตัวเข้ายื่นหนังสือขอเลื่อนนัดหมายการเข้าให้การชี้แจงในฐานะพยานกับ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เกี่ยวกับประเด็นการรับซื้อเพนท์เฮาส์หรูย่านสุขุมวิท ซึ่งอดีตเป็นทรัพย์สินของนายอภิรักษ์ โกฎธิ ผู้บริหารและผู้ต้องหาหลักในคดี Forex-3D นั้น

เมื่อวันที่ 9 มี.ค. ที่ ศูนย์คดียาเสพติด บริเวณศูนย์ราชการฯ อาคารเอ ชั้น 2 ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายพงษธร อินอำนวย ผอ.ศูนย์คดียาเสพติด และในฐานะเลขานุการคดี Forex-3D กล่าวถึงกรณีการออกหมายเรียกนายรามา รัศมีรามา หรือ เมฆ เพื่อให้เข้ามาชี้แจงในฐานะพยาน ในประเด็นการซื้อเพนท์เฮาส์หรู ย่านสุขุมวิท จากบริษัทนายหน้าเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งอดีตเป็นทรัพย์สินของนายอภิรักษ์ โกฎธิ ผู้ต้องหาหลักในคดีแชร์ Forex-3D ว่า สำหรับประเด็นที่วันนี้ทางพนักงานสอบสวน จะใช้ในการสอบถามนายรามา อาทิ รู้จักกับนายอภิรักษ์ โกฎธิ หรือไม่ มีการติดต่อซื้อขายเพนท์เฮาส์กันอย่างไร นายรามาใช้ทรัพย์สินจากไหนมาทำการซื้อขาย และสาเหตุใด จึงถูกอายัดเพนท์เฮาส์ และที่ผ่านมา นายรามาได้มีการคัดค้านกับทาง ปปง. อย่างไรบ้าง

อีกทั้งคำชี้แจงต่างๆ ที่นายรามาเคยไปให้ไว้กับ ปปง. ดีเอสไอก็จะต้องประสานขอข้อมูลจากทาง ปปง. เช่นเดียวกันว่า มีหลักฐานเชิงลึกจากการตรวจสอบ พบอะไรบ้าง เจอความเกี่ยวข้องหรือไม่ ทั้งนี้ เมื่อนายรามา ตัดสินใจเลื่อนกำหนดนัดหมายในวันนี้ ทางคณะพนักงานสอบสวนก็จะต้องมีการออกหมายเรียกอีกครั้ง เพื่อให้นายรามาเข้ามาให้การชี้แจง

นายพงษธร กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้น จากคำให้การของนายรามาก่อนหน้านี้นั้น ขณะนั้นยังไม่พบว่านายรามา จะเข้าข่ายความผิดในข้อหาที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน ซึ่งขณะนี้ไม่พบว่านายรามา มีส่วนร่วมชักชวนหรือลงทุนในแชร์ Forex-3D แต่เพียงมีความเกี่ยวข้องในเรื่องการครอบครองทรัพย์สิน ที่มาจากการกระทำความผิดในคดีแชร์ Forex-3D รวมถึงในขณะนั้น พนักงานสอบสวนก็ได้มีการเรียกสอบพยานแวดล้อมที่นายรามาได้อ้างถึง จึงเป็นสาเหตุให้ ปปง. พบว่าชื่อผู้ครอบครองเพนท์เฮาส์ ชื่อ นายอภิรักษ์ โกฎธิ ทาง ปปง. จึงอายัดและยื่นฟ้องต่ออัยการ เพื่ออัยการยื่นฟ้องต่อศาลแพ่ง ให้ทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน ซึ่งขณะนี้นายรามายังอยู่ระหว่างการต่อสู้ทางคดี

“ในตอนที่นายรามาเข้ามาให้การกับดีเอสไอในครั้งแรก เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว พนักงานสอบสวนยังไม่พบความเกี่ยวข้องทางอาญาว่าสิ่งที่เขารับซื้อ เข้าลักษณะฟอกเงินหรือไม่ เพราะว่ามีคนที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก หลังจากที่เจ้าหน้าที่มีการขยายผล ซึ่งตอนนั้นต้องยอมรับว่า คำชี้แจงการซื้อเพนท์เฮาส์ของนายรามานั้นฟังขึ้น โดยมีการระบุว่าได้ใช้เงินจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ดำเนินการภายในครอบครัวในการซื้อ แต่ในส่วนของตัวทรัพย์ยังฟังไม่ขึ้น ขณะนั้นพนักงานสอบสวนจึงต้องส่งรายการทรัพย์สินไปให้ทาง ปปง. ตรวจสอบต่อ อย่างไรก็ตาม การซื้อขายเพนท์เฮาส์หลังนี้ นายรามาได้มีการอธิบายว่า มีการซื้อขายอย่างไร แต่เพียงแค่ทรัพย์สินรายการนี้ ดันเป็นของนายอภิรักษ์ โกฎธิ แม้ไม่พบความเกี่ยวข้องระหว่างนายรามากับนายอภิรักษ์ แต่ก็เป็นสาเหตุที่ดีเอสไอต้องนำส่งรายการทรัพย์สินไปให้ทาง ปปง. พิจารณาอีกชั้น” นายพงษธร ขยายความ

นายพงษธร กล่าวด้วยว่า หากการซื้อขายเพนท์เฮาส์ดังกล่าว ของนายรามา มีพฤติการณ์เข้าข่ายในการทำนิติกรรมอำพราง หรือพบความเกี่ยวโยงกับนายอภิรักษ์ หรือมีการทำธุรกิจอื่นร่วมกับนายอภิรักษ์จริงๆ นายรามาก็อาจจะถูกดำเนินคดีในภายหลังได้ หากพบข้อเท็จจริงจากการสืบสวน และหากนายรามามีการอ้างอิงถึงพยานบุคคลรายใดก็ตาม หรือจากแนวทางการสืบสวนพบว่า มีบุคคลใดเกี่ยวข้องบ้าง ก็จะต้องมีการออกหมายเรียก ให้บุคคลเหล่านั้นเข้าให้การในฐานะพยานต่อไป เพื่อทำการสอบสวนให้สิ้นกระแส

ส่วนกรณีที่เพจบัญชี Facebook ชื่อ “เหยื่อ” มีการเปิดเผยรายชื่อของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับนายรามา รัศมีรามา จำนวน 5 รายชื่อนั้น นายพงษธร ระบุว่า พนักงานสอบสวนจะนำข้อมูลเกี่ยวกับรายชื่อทั้งหมดไปตรวจสอบว่า มีความเกี่ยวข้องกับขบวนการฟอกเงินของกลุ่มแชร์ Forex-3D หรือคดีอื่นๆ ที่ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษดูแลอยู่หรือไม่ เนื่องจากพบว่ามีบางรายชื่อตรงกับบุคคลที่ดีเอสไอเฝ้าจับตาตรวจสอบข้อมูลอยู่ หากพบว่ามีบุคคลใดที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง หรือกระทำผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นคดีของแชร์ Forex-3D คดีฟอกเงิน หรือคดีใดๆ ที่ดีเอสไอกำกับดูแลอยู่ก็จะต้องดำเนินการตามขั้นตอน

นอกจากนี้ นายพงษธร ยังระบุด้วยว่า รายชื่อที่ปรากฏตามเพจ Facebook ต่างๆ ทั้งเรื่องพนันออนไลน์หรือเรื่องอะไรก็ตาม พนักงานสอบสวนมีการติดตามตรวจสอบดูทั้งหมด และหากในการสืบสวนพบว่า รายชื่อต่างๆ นั้น มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับนายอภิรักษ์ โกฎธิ หรือ นายรามา รัศมีรามา และเป็นเรื่องใหม่ ดีเอสไอก็จะสามารถแตกเป็นอีกหนึ่งคดีได้ เนื่องจากคดีฟอกเงินค่อนข้างมีความเกี่ยวข้องกับหลายคน อีกทั้งพนักงานสอบสวนจะต้องเร่งสรุปสำนวนฟอกเงินของนายปราปต์ปฎล สุวรรณบาง หรือ ปราปต์ เพื่อนำส่งอัยการ โดยเลขคดีสำนวนฟอกเงินของนายปราปต์และนายรามา เป็นเลขคดีเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม หากรายชื่อที่ปรากฏตามเพจเฟซบุ๊ก ปรากฏข้อเท็จจริงในพยานหลักฐาน และการสืบสวนพบความเกี่ยวข้องจริงๆ ทางดีเอสไออาจจะต้องมีการแตกเป็นอีกเลขคดีหนึ่ง เพื่อดำเนินคดีกับคนกลุ่มนั้น และนายรามาในส่วนของความผิดฐานฟอกเงินได้อีกด้วย

“หากวันนี้นายรามาได้เข้ามาให้การกับดีเอสไอตามกำหนดนัด พนักงานสอบสวนก็จะได้มีการสอบถามเรื่องรายชื่อของหลายบุคคลที่ปรากฏในเพจ Facebook ด้วย แต่นายรามาก็ไม่ได้เข้ามา ดังนั้น พนักงานสอบสวนจึงยังคงมีเวลาในการตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อเตรียมใช้สำหรับสอบถามนายรามาในหมายเรียกครั้งถัดไป แต่การสอบปากคำนายรามานั้น จะเป็นผู้ช่วยเลขานุการ คดีดำเนินการสอบปากคำแทน” นายพงษธร ระบุปิดท้าย