เมื่อวันที่ 11 มี.ค. แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดเผยถึงกรณีมีการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายพรรคการเมืองต่างๆ ซึ่งหลายนโยบายถูกมองว่าไม่สามารถทำได้จริง นั้นว่า ในส่วนของนโยบายที่ไม่ใช้เงินนั้น สามารถเสนอได้เลย หากไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย แต่หากเป็นนโยบายที่ต้องใช้เงิน นโยบายประชานิยม ต้องดำเนินการ ตามมาตรา 57 แห่ง พระราชบัญญัติประอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ. 2560 โดยก่อนหน้านี้ สำนักงาน กกต. ได้กำหนดแนวทางเพื่อให้พรรคการเมืองได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรา 57 แห่ง พระราชบัญญัติประอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ. 2560 และมาตรา 74 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ. 2561 ที่ต้องดำเนินการให้ถูกต้อง โดยการกำหนดนโยบายของพรรคการเมืองที่ใช้ในการประกาศโฆษณา ให้คำนึงถึงความเห็นของสาขาพรรคการเมืองและตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด นโยบายใดที่ต้องใช้จ่ายเงิน การประกาศโฆษณานโยบายนั้น อย่างน้อยต้องมีรายการ 1.วงเงินที่ต้องใช้ และที่มาของเงินที่จะใช้ในการดำเนินการ 2.ความคุ้มค่าและประโยชน์ในการดำเนินนโยบาย และ 3.ผลกระทบและความเสี่ยงในการดำเนินนโยบาย ส่วนการหาเสียงของผู้สมัคร และพรรคการเมือง ต้องไม่ขัดหรือแย้งกับแนวทางที่กำหนดเป็นนโยบายของพรรคการเมืองตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง และตามมาตรา 74 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ. 2561

ทั้งนี้ สำหรับพรรคการเมืองใดที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง กกต. ตามมาตรา 57 วรรคสอง ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 500,000 บาท และปรับอีกวันละ 10,000 บาท ตลอดระยะเวลาที่ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง และผู้ฝ่าฝืนมาตรา 74 หรือ หาเสียงเลือกตั้งไม่ว่าด้วยประการใดเพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อหรือเข้าใจผิดว่าเป็นนโยบายของพรรคการเมืองตามมาตรา 74 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งขจองผู้นั้นมีกำหนด 20 ปี

แหล่งข่าวยังกล่าวถึง กรณีการสังเกตการณ์ในการปราศรัยของพรรคการเมืองนั้นว่า กกต. ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปสังเกตการณ์และจะมีการรายงานต่อเลขาธิการ กกต. เพื่อทราบเบื้องต้นว่า มีการปราศรัยหาเสียงอย่างไร ส่วนการปราศรัยที่อาจจะเป็นเรื่องผิดกฎหมายหรือเข้าข่ายผิดกฎหมาย ก็จะมีการแจ้งต่อเลขาธิการ กกต. อีกครั้งหนึ่ง โดยการลงพื้นที่สังเกตการณ์ของเจ้าหน้าที่ กกต. ในการปราศรัยของพรรคการเมืองนั้น จะเป็นการไปสังเกตการณ์โดยไม่แสดงตัว ซึ่งพรรคการเมืองจะไม่รู้ว่ามีเจ้าหน้าที่ กกต. อยู่ ทั้งนี้ หากเป็นเวทีปราศรัยใหญ่ของพรรค ก็จะมีเจ้าหน้าที่ไปสังเกตการณ์ทั้งหมด.