เมื่อวันที่ 24 เม.ย. ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย แถลงกรณีการลงพื้นที่ปราศรัยภาคใต้ของพรรค พท. ว่า วันที่ 25-27 เม.ย. 66 เราจะเดินทางลงพื้นที่ภาคใต้ทั้งฝั่งอันดามันและฝั่งอ่าวไทย จะมีทั้งเวทีปราศรัยใหญ่และเดินพบปะประชาชน รวมถึงตั้งวงสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับประชาชนกลุ่มต่างๆ ถือเป็นการลงพื้นที่ภาคใต้ของนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรค พท. ในวันที่ 25 เม.ย. จะเริ่มที่ จ.ภูเก็ต จะเริ่มเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ที่ยิมนีเซียมสะพานหิน อ.เมืองภูเก็ต จากนั้นจะเดินทางไปปราศรัยใหญ่หน้าที่ว่าการอำเภอเมืองพังงา จ.พังงา

วันที่ 26 เม.ย. จะเดินทางไปที่หาดใหญ่ เพื่อลงพื้นที่พบปะประชาชนในพื้นที่ จ.สงขลา และปราศรัยใหญ่ที่โรงเรียนเทคโนโลยีหาดใหญ่ จ.สงขลา จากนั้นเดินทางไปยัง จ.นครศรีธรรมราช เพื่อที่เช้าวันที่ 27 เม.ย. จะเดินพบปะพี่น้องประชาชนในช่วงเช้า ก่อนเดินทางไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ วัดธาตุน้อย (หลวงพ่อท่านคล้ายวาจาสิทธิ์) จากนั้นพบปะและพูดคุยกับประชาชนกลุ่มอาชีพต่างๆ และสักการะพระบรมธาตุ ณ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร อ.เมืองนครศรีธรรมราช ก่อนจะพบปะผู้ประกอบการรุ่นใหม่ใน อ.เมือง จากนั้นเดินทางไปปราศรัยใหญ่ที่สนามหน้าเมืองนครศรีธรรมราช

“ไม่ว่าจะเป็นการปราศรัยหรือการพบปะพี่น้องประชาชนในรูปแบบใดก็ตาม เรามั่นใจว่าด้วยแนวนโยบาย ผลงานในอดีตที่ผ่านมา และความมุ่งมั่นของพรรคเพื่อไทย และจุดยืนประชาธิปไตยมาโดยตลอด เราน่าจะได้รับโอกาสจากพี่น้องประชาชนภาคใต้ในครั้งนี้ เชื่อว่าการเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ค. จะเห็นธงชัยชนะของพรรคเพื่อไทย ปักในพื้นที่ภาคใต้ และเป้าหมายที่เป็นความหวังไม่ได้มีแค่หนึ่งเดียว มีมากกว่านั้น แต่จำนวนหรือตัวเลขขอให้การตัดสินใจของประชาชนในวันเลือกตั้ง เป็นคำตอบ แต่ยืนยันว่า เดินลงไปด้วยความมุ่งมั่นและมั่นใจการเมืองในพื้นที่ภาคใต้คราวนี้ แม้ความนิยมยังแบ่งกันอยู่ในซีกฝั่งรัฐบาลปัจจุบัน แต่คะแนนของผู้มีสิทธิเลือกตั้งใหม่บวกกับคะแนนประชาชนผู้เห็นความจริง หรือได้รับผลกระทบของความล้มเหลวในการบริหารของรัฐบาล จะเป็นส่วนเพิ่มของพรรคเพื่อไทย ที่สามารถเอาชนะได้ในหลายเขตเลือกตั้ง ส่วนในช่วงเดือน พ.ค. ที่เป็นโค้งสุดท้าย อาจมีการลงพื้นที่ภาคใต้อีกครั้ง” นายณัฐวุฒิ กล่าว

นายณัฐวุฒิ ยังกล่าวถึงกรณีนายเศรษฐา ประกาศไม่จับมือกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เป็นความคิดเห็นในนามส่วนตัวหรือในนามพรรค ว่า ที่นายเศรษฐาพูดในนามแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนหนึ่ง ก็คิดว่าเป็นท่าทีของพรรคที่ประกาศต่อประชาชน และเมื่อวานนี้ (23 เม.ย.) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรค พท. ให้สัมภาษณ์พร้อมนายเศรษฐา ก็ไม่ได้มีคำตอบที่แตกต่างหรือขัดแย้งแต่อย่างใด ซึ่งตั้งแต่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค พท. และแกนนำพรรคคนอื่นๆ ที่พูดบนเวทีเราก็ไม่ได้มีคำพูดที่แตกต่าง มีการยืนยันมาตลอดว่าเป้าหมายของพรรค พท. คือการแลนด์สไลด์ จัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตย แคนดิเดตนายกฯ ของพรรค พท. ต้องเป็นนายกรัฐมนตรี นโยบายของพรรค พท. ต้องเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล ซึ่งชัดเจนอยู่ในตัว เพียงแค่การที่ไม่ต้องประกาศออกมาเป็นรายพรรค เพราะหลายพรรคที่ประกาศเป็นคำตอบของคนที่ไม่ต้องทำ คือหลายพรรคที่ประกาศออกมา ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นพรรคอันดับหนึ่ง ไม่ได้ถูกมองว่าจะเป็นพรรคที่จัดตั้งรัฐบาลก่อน แต่พรรค พท. เป็นพรรคที่ถูกฝ่ายเห็นร่วมกันว่า จะเป็นพรรคอันดับหนึ่งที่เริ่มตั้งรัฐบาลก่อน

เมื่อถามถึงกรณีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค พท. ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวในลักษณะของการแซะพรรคก้าวไกล เรื่องนโยบายหลายอย่างที่พูดไป พรรค พท. เคยทำมาแล้ว รวมถึงการทวีตข้อความในลักษณะที่บอกว่าเก่งแต่ในโซเชียล นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า เป็นข้อเท็จจริงในเรื่องนโยบายไม่ว่าจะเป็นการเกณฑ์ทหารโดยความสมัครใจ สุราเสรีไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับพรรค พท. ส่วนความหมายของนายภูมิธรรม จะเป็นการแซะหรืออะไรตนไม่ทราบ เพียงแต่ดูการทำงานร่วมกันที่ผ่านมา ที่นายภูมิธรรมเป็นเลขาธิการพรรค พท. ก็ยังได้รับการพูดถึงในเชิงบวก และการยอมรับจากนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ในตอนนั้นว่า เขาทำงานด้วยกันได้ดีในหลายๆ เรื่อง แม้กระทั่งเรื่องที่นายปิยบุตร ขอให้นายภูมิธรรมสนับสนุนนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ในขณะนั้น เป็นคู่ชิงนายกรัฐมนตรีกับ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งพรรค พท. ก็ขานรับและนายภูมิธรรมก็ดำเนินการให้ ทั้งนี้ ตนคิดว่าในสนามการเลือกตั้งครั้งนี้ ทุกพรรคแข่งกันเต็มที่เต็มกำลังแบบนี้ถูกต้องแล้ว และแต่ละพรรคมีสิทธิที่จะเสนอแนวทางและยุทธศาสตร์ของตนเองก็ถือว่าไม่ผิด

“เพื่อไทยประกาศแลนด์สไลด์ โดยชี้ให้เห็นว่านี่เป็นโอกาสเดียวที่จะตั้งรัฐบาลประชาธิปไตย แต่พรรคการเมืองอื่นๆ จะเสนอแนวทางอะไรก็ไม่มีใครไปปิดกั้น เราเข้าใจกัน และสุดท้ายการตัดสินใจจะเป็นของประชาชน ทุกพรรคประกาศว่าต้องชนะทุกเขต ทั่วประเทศ ไม่มีใครประกาศว่าจะต้องชนะครึ่งหนึ่ง เพียงแต่ระหว่างการทำงานในสนามเลือกตั้ง ผมคิดว่าเรายังมีอุปสรรคที่ต้องเผชิญอีกมาก หากอยากจะเปลี่ยนอะไรต้องเริ่มจากการเปลี่ยนรัฐบาลก่อน ถ้าไม่สามารถเปลี่ยนรัฐบาลได้ ก็ไม่ต้องพูดถึงการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย เพราะมันจะจบที่ตรงนั้น หากจะอยากเปลี่ยนรัฐบาล เพื่อไทยก็บอกว่าเลือกเพื่อไทยให้แลนด์สไลด์ นี่คือการนับหนึ่ง และเราเห็นพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยทุกพรรคเป็นมิตร ไม่ได้คิดเป็นอื่น เพียงแต่ท่วงทำนองในการหาเสียงและสื่อสารกับประชาชน หากทุกพรรคเห็นแบบเดียวกัน ก็คงจะเป็นประโยชน์ เพราะเรายังต้องแก้ปัญหาทางการเมืองร่วมกัน และยังต้องทำงานประสานกำลังกัน เพื่อผลักดันสังคมไทยให้ไปข้างหน้าได้อีก ผมเคยพูดว่าหากเราตาสว่างก็อย่าให้หน้ามืด เพราะหน้ามืดบางทีก็ไม่เห็นเลยว่าใครเป็นเพื่อน ใครเป็นศัตรู ใครเป็นคู่ต่อสู้ ใครเป็นมิตร ซึ่งต้องระวัง” นายณัฐวุฒิ กล่าว