ย้อนกลับไปในอดีตก่อนและหลังเลือกตั้ง!! จะพบว่าตลาดหุ้นไทยมักปรับตัวขึ้นได้ดีมาโดยตลอดแต่ในการเลือกตั้งในปี 66  นี้ ปรากฏว่า…ตลาดหุ้นไทยกลับตาลปัตร กลับกลายเป็นว่าตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง และยังคงเห็นแรงเทขายจากนักลงทุนต่างชาติออกมาอย่างต่อเนื่อง

หลักใหญ่ใจความสำคัญ คงหนีไม่พ้นเรื่องของความกังวลในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ที่เวลานี้ ยังมะรุมมะตุ้ม โดยเฉพาะตำแหน่ง “ประธานรัฐสภา” ที่กำลังกลายเป็นประเด็น และมีการวิพากษ์วิจารณ์กันแทบทุกวัน ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงคนไทยเท่านั้นที่ให้ความสนใจ แต่ในส่วนของต่างประเทศเองก็จับตามองสถานการณ์การเมืองไทยไม่น้อยเช่นกัน

ล่าสุด!! ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานว่าภาพรวมตลาดเงินตลาดทุนไทยตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-25 พ.ค. 66 ต่างชาติมียอดขายสุทธิหุ้นไทยสะสมที่ 89,144 ล้านบาท และยังมีสถานะไหลออกจากตลาดพันธบัตรรวมอีก 43,085 ล้านบาท โดยทั้งหมดมียอดสะสมกว่า 132,229 ล้านบาท ซึ่งต้องยอมรับว่าตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมามีเงินจากต่างประเทศไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่มาในเดือน พ.ค. 66 นี้ปรากฏว่าบรรดานักลงทุนต่างชาติกลับมาขายสินทรัพย์หุ้นไทยและพันธบัตรไทย

หุ้นใหญ่ไหลรูดลง

เรื่องของหุ้นรูดไหลลงเช่นนี้ เป็นเพราะต่างกังวลในเรื่องของนโยบายพรรคก้าวไกลที่ชนะเลือกตั้ง อย่างเห็นได้ชัด เพราะหลังจากผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการออกมา ปรากฏว่าตลาดหุ้นไทยตอบรับไปในทางลบกันทันที เพราะวันรุ่งขึ้นหลัง การเลือกตั้งเสร็จสิ้น บรรดาราคาหุ้นรายใหญ่ลดลงหลายตัว เนื่องจากกังวลนโยบายปรับลดค่าไฟและการแก้ไขสัญญากลุ่มโรงไฟฟ้า รวมถึงนโยบายจัดการทุนผูกขาดของพรรคก้าวไกลที่ชนะการเลือกตั้ง เช่น กัลฟ์ ราคาลดลงต่ำสุด 47.75 บาท และยังลดลงต่ออีกในวันที่ 16 พ.ค. ซึ่งถือเป็นราคาต่ำสุดช่วงที่ผ่านมาที่ 46.76 บาท เช่นเดียวกับหุ้น จีพีเอสซี ราคาลดลงต่ำสุดในวันที่ 15 พ.ค. ที่ 58 บาท และ บีกริม ราคาลดลงต่ำสุดที่ 36 บาท ส่วน อีเอ ราคาต่ำสุดช่วงหลังเลือกตั้งที่ 64.25 บาท ในวันที่ 19 พ.ค. ก่อนรีบาวน์พลิกฟื้นกลับคืนขึ้นมาได้

ขณะที่ กลุ่มแอดวานซ์ และ อินทัช ซึ่งเชื่อมโยงกับกลุ่มทุนกัลฟ์ ที่นายสารัชถ์ รัตนาวะดี เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กัลฟ์ฯ อยู่ ได้ปรับลดลงทั้ง 2 หุ้นหลังจากวันเลือกตั้งในวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยหุ้นแอดวานซ์ ได้ปรับลดลงต่ำสุดที่ 210 บาท ก่อนกลับมาฟื้นได้เล็กน้อย และหุ้นอินทัช ลดลงไปเหลือ 72 บาท และในวันทำเอ็มโอยูของพรรคร่วมรัฐบาลวันที่ 22 พ.ค. ราคาอินทัชร่วงลดลงไปต่ำสุดที่ 70.75 บาท

ส่วนหุ้นที่เชื่อมโยงกับพรรคเพื่อไทย อย่างเช่น เอสซี แอสเสท ราคาลดต่ำสุดในวันหลังเลือกตั้งที่ 4.08 บาท จากวันก่อนหน้าอยู่ที่ 4.58 บาท และในวันที่ 22 พ.ค. ได้ร่วงลงหนักราคาเอสซี ลดมาต่ำสุดที่ 3.96 บาท ก่อนจะฟื้นมาที่ 4.3 บาท เมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา และอีกหุ้น คือ แสนสิริ ราคาลดลงต่ำสุด 1.64 บาทในวันที่ 15 พ.ค. ก่อนฟื้นกลับมาได้ 1.75 บาท ในวันปิดตลาด 25 พ.ค. ด้าน กลุ่มทุนซีพี อย่างหุ้นทรู ราคาต่ำสุด 6.95 บาท หลังเลือกตั้งในวันที่ 15 พ.ค. และลดลงต่อเนื่องในวันประกาศเอ็มโอยู ราคาหุ้นทรูลดลงต่ำสุดที่ 6.25 บาท ก่อนฟื้นกลับมาได้ และซีพีออลล์ ราคาได้ลดต่ำสุดเช่นกัน โดยเฉพาะในวันที่ 22 พ.ค. วันทำเอ็มโอยูพรรคร่วมรัฐบาลราคาได้ลดไปต่ำสุด 60.75 บาท

ที่มา : ข้อมูลจาก efin Trade+ รวบรวมโดยเดลินิวส์ (ระหว่างวันที่ 15-25 พ.ค. 66)

อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องที่น่ากังวล เพราะนับตั้งแต่รู้ผลการเลือกตั้งนักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยทิ้งต่อเนื่องติดต่อกันทุกวัน จนถึงวันที่ 25 พ.ค. 66 รวม 9 วันทำการของตลาดหุ้นไทย ปรากฏว่า ต่างชาติเทขายหุ้นไทยไปแล้ว 19,300.63 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดใหญ่ ทั้งในกลุ่มอสังหาและก่อสร้าง กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กและผลิตภัณฑ์โลหะ กลุ่มพลังงาน กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มเทคโนโลยีและการสื่อสาร กลุ่มบริการ กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมและบรรจุภัณฑ์ และปิโตรเคมี เคมีภัณฑ์ เป็นต้น

บรรดานักวิเคราะห์มองว่าเหตุการณ์เทขายหุ้นไทยทิ้งต่อเนื่อง เกิดจากผลการเลือกตั้งผิดคาดไปพอสมควรจากพรรคก้าวไกลที่กลายเป็นพรรคอันดับหนึ่งแซงพรรคเพื่อไทย ทำให้นักลงทุนไม่ว่าจะตลาดหุ้นหรือพันธบัตรต่างเทขายกันออกมา ซึ่งเห็นว่าตลาดพันธบัตรก่อนเลือกตั้งเป็นผู้ซื้อสุทธิอยู่ที่ 50,000 กว่าล้านบาท แต่นับจากหลังวันเลือกตั้งกลายเป็นผู้ขายสุทธิ 30,000 กว่าล้านบาท

ไม่มั่นใจการจัดตั้งรัฐบาล

“ไพบูลย์ นลินทรางกูร” นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน บอกว่า ตลาดหุ้นไทยที่นักลงทุนต่างชาติยังคงเทขายสุทธิต่อเนื่องหลังการเลือกตั้ง เกิดจากนักลงทุนต่างชาติไม่มั่นใจในการจัดตั้งรัฐบาล แม้พรรคก้าวไกลมีเสียงข้างมากแต่ก็ยังไม่มั่นใจได้แน่นอนว่า จะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล แม้มีการลงนามกับพรรคร่วมรัฐบาลแล้วก็ตาม โดยยังคงต้องจับตาดูต่อไปในอีก 2 เดือน เพื่อรอความชัดเจนจากการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี รวมทั้งที่ผ่านมาก่อนเข้าสู่ช่วงการเลือกตั้ง ดัชนีตลาดหุ้นไทยก็ไม่ได้ปรับตัวขึ้นเหมือนการเลือกตั้งในหลาย ๆ ครั้ง

ขณะเดียวกันแรงเทขายของนักลงทุนไม่ได้มาจากฝั่ง ต่างชาติเพียงอย่างเดียว เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ยังขาดความมั่นใจในเรื่องอนาคตของรัฐบาลที่ยังเลือนราง รวมไปถึงการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลจากขั้วเดิมมาเป็นขั้วใหม่ ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบาย ทำให้นักลงทุนมีความลังเลในการลงทุนเนื่องจากต้องรอนโยบายที่มีความชัดเจน

Free photo business infographics in hologram made by businessman

เชื่อครึ่งปีหลังกระเตื้อง

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังมีโอกาสปรับตัวขึ้น เพราะเชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะถดถอยในครึ่งปีหลัง และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะหยุดขึ้นดอกเบี้ยแล้วในการประชุมครั้งถัดไป จากเงินเฟ้อมีสัญญาณชะลอตัว ทำให้มีเงินไหลออกจากตลาดหุ้นสหรัฐ หลังจากที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาแล้ว 8% มาเข้าตลาดหุ้นเอเชีย โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยที่ราคาไม่แพง และภาคท่องเที่ยวจะฟื้นตัวแรงจากนักท่องเที่ยวจะเดินทางเข้ามามากขึ้น จากรัฐบาลใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น

ขึ้นค่าแรงกระทบหุ้นอสังหาฯ

ไม่เพียงเท่านี้…ยังพบว่ายังมีอีกหลายนโยบายสำคัญของว่าที่รัฐบาลชุดใหม่ ที่สร้างความกังวลใจในกับนักลงทุน ทั้งการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 450 บาท ที่กระทบในหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เพราะเป็นอุตสาหกรรมที่มีการใช้แรงงานจำนวนมาก โดยต้นทุนค่าแรงที่อิงกับค่าแรงขั้นต่ำ อยู่ในส่วนของคนงานก่อสร้างที่มีทั้งการว่าจ้างโดยตรง และการว่าจ้างผ่านบรรดาผู้รับเหมาช่วง ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 20-30% ของต้นทุนก่อสร้าง ทั้งหมด หรือแม้แต่ในกลุ่มที่อยู่อาศัย การขึ้นค่าแรงก็ส่งผลเชิงลบต่อต้นทุนการพัฒนาโครงการของผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยทุกราย โดยพิจารณาโครงสร้างต้นทุนสัดส่วนหลัก 30-40% มาจากต้นทุนที่ดิน ตามด้วยต้นทุนก่อสร้างและแรงงาน 40-50% ที่เหลือเป็นงานโครงสร้างและอื่นๆ

Photo stock exchange market concept, hand touching on trading icon screen with graphs analysis candle line on bokeh colors light.

ยังวิเคราะห์ได้ยาก

สำหรับการลงทุนขณะนี้นักวิเคราะห์บอกว่า ยังมีความยาก เพราะต้องขึ้นอยู่กับสมมุติฐานหากตั้งสมมุติฐานว่า พรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาลแน่นอน ก็ต้องรู้ว่าได้คุมกระทรวงใดบ้าง เช่น กระทรวงแรงงานก็ต้องหลีกเลี่ยงในกลุ่มที่โฟกัสกลุ่มคนที่มีรายได้น้อย เพราะหากค่าแรงขึ้นเยอะก็อาจทำให้ผลการดำเนินงานลดลงมากพอสมควร แม้มีเรื่องของการลดภาษีสำหรับเอสเอ็มอี ที่อาจช่วยชดเชยผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทันที 450 บาทได้

กลุ่มรพ.-แบงก์สดใส

ฉะนั้น… หากเข้าลงทุนในกลุ่มนี้ก็ต้องดูว่าหุ้นปรับลดลงมามากน้อยเพียงใด หากยังลดลงมาไม่เยอะก็อย่าไปยุ่งให้หันไปลงทุนกลุ่มอื่นแทน อย่างเช่น…หุ้นกลุ่มที่มีรายได้แน่นอน และไม่ได้รับผลกระทบจากนโยบายรัฐบาลมากนัก อย่าง กลุ่มโรงพยาบาลขนาดใหญ่ เพราะมีผู้ป่วยต่างชาติเข้ามาอยู่แล้ว และส่วนใหญ่เป็น “โรคหนัก” ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงและไม่ได้กังวลเรื่องราคา หรือกลุ่มธนาคารที่ไม่ได้รับผลกระทบในเรื่องนี้ของแรงงานเท่าใด จึงถือเป็นกลุ่มที่นักลงทุนหันมาให้ความสนใจและเข้ามาลงทุนในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนในช่วงนี้

ทั้งหลายทั้งปวง บรรดานักลงทุนคงต้องติดตามสถาน การณ์ความชัดเจนทางการเมืองอย่างใกล้ชิด ทั้งการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 การประชุมสภา หรือแม้แต่นโยบายของรัฐบาลใหม่ ที่สำคัญเหนืออื่นใดปัจจัยจากต่างประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการขยายเพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐ ภายในวันที่ 1 มิ..นี้ ก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องตามติดสถานการณ์กันต่อไป.

Photo financial crisis stock chart business on economy market background with down diagram money exchange finance graph or loss global investment trade analysis recession and fall sales price crash risk

…ทีมเศรษฐกิจ…