เมื่อวันที่ 31 พ.ค. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายชวน หลีกภัย อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงคุณสมบัติของประธานสภาผู้แทนราษฎรคนใหม่ ว่าขึ้นอยู่กับมติของที่ประชุมสภาฯ เพราะตามปกติพรรคการเมืองที่ได้เสียงข้างมาก จะได้เป็นประธานสภาฯ ซึ่งแตกต่างจากครั้งที่แล้ว ซึ่งตนได้ทำหน้าที่เป็นประธานสภาฯ เนื่องจากพรรคร่วมรัฐบาลเต็มใจ และไม่หักโควตารัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ โดยเหตุผลที่ตนรับทำหน้าที่ดังกล่าว เพราะเห็นว่าก่อนการเลือกตั้งเมื่อปี 62 ไม่มีสภามา 5 ปี จึงรับหน้าที่เป็นประธานสภาฯ แม้หลังเลือกตั้งใหม่มีการประเมินว่าสภาฯ อยู่ได้ 1-2 ปี แต่ด้วยความร่วมมือจาก ส.ส. ทำให้อยู่จนครบ 4 ปี และทำหน้าที่ได้สมบูรณ์

นายชวนกล่าวอีกว่า สำหรับตำแหน่งประธานสภาฯ โดยทั่วไปถ้าเราย้อนกลับไปพรรคที่เป็นรัฐบาลจะมีเสียงข้างมาก จะได้รับตำแหน่งประธานสภาฯ และนายกรัฐมนตรี แต่เมื่อรายละเอียดพรรคที่มีเสียงใกล้เคียงกับรัฐบาลจะได้เป็นฝ่ายค้าน อาทิ กรณีพรรคความหวังใหม่ ได้ 125 เสียง พรรคประชาธิปัตย์ได้ 123 เสียง ห่างกัน 2 เสียง แต่ทั้ง 2 พรรคไม่ได้ร่วมรัฐบาลกัน ดังนั้น พรรคความหวังใหม่ก็ตั้งประธานสภาฯ และนายกรัฐมนตรีเอง โดยมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน จึงไม่มีประเด็นการต่อรองตำแหน่งประธานสภาฯ แต่ในกรณีที่มีการถกเถียงคะแนนของพรรคที่มาร่วมรัฐบาล มีความใกล้เคียงกัน คือ 151 กับ 141 จึงเป็นประเด็นใหม่ ดังนั้น การที่พรรคเพื่อไทยเสนอขอเป็นประธานสภาฯ จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะคะแนนไม่ห่างกันมาก

ส่วนที่จะใช้ตำแหน่งประธานสภาฯ ทำประโยชน์ให้พรรคการเมืองตัวเองนั้น นายชวน กล่าวว่า เป็นเรื่องเข้าใจผิด ดังนั้น ขอให้ไปศึกษารัฐธรรมนูญและข้อบังคับสภาดูว่า ประธานสภาฯ มีหน้าอะไรบ้าง ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ประธานสภาฯ สามารถเปลี่ยนชื่อนายกรัฐมนตรีได้ แต่ปัจจุบันเขาลงมติกันในสภา เมื่อสภาเลือกใคร ประธานสภาฯ จะไปทำอย่างอื่นไม่ได้ และมีหน้าที่นำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ เท่านั้น  เพราะโดยทั่วไปตามข้อกำหนด ประธานสภาฯ ต้องเป็นกลาง สมมุติเป็นกรรมการบริหารพรรคอยู่ก็ต้องลาออก เพราะเขาต้องการประธานฯ ที่มีความเป็นกลาง ต้องเข้าใจกฎหมายจะไปทำอะไรตามอำเภอใจไม่ได้ แม้แต่จะถ่วงเวลาก็ไม่ได้ เพราะแต่ละเรื่องมีกำหนดเวลาไว้อยู่แล้ว และในทางปฏิบัติเขาจะร่วมมือกัน ต้องมองความเป็นจริงว่าใครมาเป็นประธานสภาฯ ก็ตามต้องพยายามรักษาความเป็นกลางไว้ ส่วนเรื่องคุณสมบัติและความเหมาะสม ขึ้นอยู่กับแต่ละฝ่ายที่จะเสนอ แต่ไม่มีข้อวิจารณ์เรื่องความเหมาะสม

อีกส่วนคือกรณีที่พรรคก้าวไกล พยายามเสนอกฎหมายยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ตนขอชี้แจงว่าคนที่ออกมาพูดเรื่องนี้ไม่รู้ข้อเท็จจริง  เพราะในสภาฯยุคที่ตนเป็นประธานสภาฯ ได้แบ่งหน้าที่ของประธานและรองประธานสภาฯ โดย นายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาฯ คนที่ 1 รับผิดชอบร่าง พ.ร.บ.ที่เสนอเข้ามายังสภาทุกฉบับ จะเห็นชอบหรือไม่ชอบอย่างไร ก็จบ โดยไม่ได้ผ่านประธานสภาฯ ขณะที่ นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาฯ คนที่ 2 จะดูเรื่องญัตติและกระทู้ถาม สำหรับร่างกฎหมายที่พรรคก้าวไกลเสนอยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จะมี นายสุชาติ เป็นผู้ดูแล และจากการปรึกษาฝ่ายกฎหมายของสภาฯ พบว่าร่างกฎหมายดังกล่าวขัดรัฐธรรมนูญ

“ร่างดังกล่าวขัดรัฐธรรมนูญ คือสถาบันพระมหากษัตริย์ผู้ใดละเมิดไม่ได้ ซึ่งท่านสุชาติรอบคอบมาก และนอกเหนือจากฝ่ายกฎหมายแสดงความคิดเห็นแล้ว ท่านยังให้ผ่านกระบวนการประสานงานที่ประกอบด้วยฝ่ายกฎหมายทุกฝ่ายของสภาอีกครั้ง ซึ่งทุกคนยังมีความเห็นว่าร่างกฎหมายฉบับนี้ขัดรัฐธรรมนูญ ทำให้ท่านสุชาติไม่ได้บรรจุในวาระ และส่งกลับไปยังพรรคก้าวไกลเพื่อแก้ไข นี่คือที่มา ผมจึงยืนยันว่าไม่มีการกลั่นแกล้ง เพราะมาไม่ถึงผม แต่จากที่พิจารณามองว่าท่านสุชาติใช้ดุลยพินิจถูกแล้ว จึงขอให้เข้าใจเรื่องนี้ว่า ที่มาวิจารณ์หรือตำหนิ อาจจะไม่ทราบข้อเท็จจริง” นายชวน กล่าว