เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ที่พรรคก้าวไกล นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล แถลงถึงข้อเท็จจริงคดีกล่าวหานายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ในการถือครองหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น ITV ภายหลังคลิปรายการการประชุมผู้ถือหุ้น ITV ปี 66 สวนทางกับรายงานการประชุมผู้ถือหุ้น ITV ปี 66 เรื่องการทำธุรกิจสื่อว่า สืบเนื่องจากการรายงานข่าวของรายการข่าวสามมิติวานนี้ มีข้อมูลที่มีนัยสำคัญมาก ๆ อย่างน้อย 2 ประการ ดังนี้ประการแรก ความขัดแย้งระหว่างคลิปการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 66 ของ ITV เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 66 กับรายงานการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 66 ในประเด็นที่ว่า ITV ยังดำเนินกิจการเกี่ยวกับสื่อหรือไม่ ถ้าเราดูคลิปการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 66 ของ ITV เมื่อวันที่ 26 เม.ย. ที่ผ่านมา เกิดขึ้นหลังการรับสมัครรับเลือกตั้ง 66 จะปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายภาณุวัฒน์ ขวัญยืน ในฐานะผู้ถือหุ้น ได้ถามในที่ประชุมว่า บริษัทฯ มีการดำเนินกิจการเกี่ยวกับสื่อ หรือทีวี หรือไม่ จากนั้นนายคิมห์ สิริทวีชัย ประธานคณะกรรมการบริษัทฯ ในฐานะประธานที่ประชุม ได้ตอบอย่างชัดเจนว่า ตอนนี้บริษัทยังไม่มีการดำเนินการใด ๆ รอผลคดีความให้สิ้นสุดก่อน

อย่างไรก็ตาม ในเอกสารการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 66 ของ ITV กลับบันทึกไม่ตรงกับคลิปการประชุมอย่างสิ้นเชิง กลับบันทึกว่า นายคิมห์ ได้ตอบคำถามของนายภาณุวัฒน์ว่า ปัจจุบันบริษัทยังดำเนินกิจการอยู่ตามวัตถุประสงค์ของบริษัท และมีการส่งงบการเงิน และยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคลตามปกติ หลังจากมีการจัดทำรายงานการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นของ ITV ดังกล่าวออกมา นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ก็ได้นำเอกสารนี้ ไปใช้เป็นหลักฐานสำคัญในการยื่นร้องต่อ กกต. ให้ตรวจสอบการถือหุ้น ITV ของนายพิธา เมื่อวันที่ 10 พ.ค. 66 ทั้งนี้ก่อนที่นายเรืองไกรจะไปยื่นร้องต่อ กกต. นั้น นายนิกม์ แสงสิรินาวิน ผู้สมัคร ส.ส.กทม. พรรคภูมิใจไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ก่อนการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นของ ITV 2 วันว่า นักการเมืองที่ถือหุ้น ITV เตรียมประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี และมอบตัว กกต. ด้วย หัวหน้าพรรคหนึ่งถือ 42,000 หุ้น

นายชัยธวัช กล่าวต่อไปว่า โพสต์ดังกล่าวทำให้เป็นที่น่าสงสัยว่า มีการวางแผนจะให้นายภาณุวัฒน์ ผู้ถือหุ้นที่ได้รับการโอนหุ้นจากนายนิกม์ และเป็นผู้จัดการคลินิกครอบครัวของนายนิกม์ ไปตั้งคำถามในที่ประชุมผู้ถือหุ้น ITV เพื่อต้องการให้ผู้บริหารตอบว่า ITV ยังดำเนินกิจการสื่อมวลชนอยู่ใช่หรือไม่ แต่เมื่อนายคิมห์ ตอบว่า ตอนนี้ ITV ยังไม่มีการดำเนินกิจการสื่อ ภายหลังกลับมีการบันทึกการประชุมให้เข้าใจได้ว่า ปัจจุบัน ITV ยังดำเนินกิจการสื่ออยู่ พฤติกรรมเช่นนี้ เข้าข่ายการทำรายงานการประชุมผู้ถือหุ้นเท็จหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นจริง จะผิดตามกฎหมายหลายฉบับ

“เรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญที่ผู้มีอำนาจในบริษัท ITV รวมถึงนายจิตชาย มุสิกบุตร กรรมการบริษัท ในฐานะกรรมการผู้สอบทาน และแก้ไขรายงานการประชุม ต้องตอบสังคมให้ชัดเจน ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า นายจิตชาย ยังเป็นผู้บริหารสายงานกฎหมาย และเลขานุการบริษัทของ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ ITV ทำให้มีคำถามว่า บมจ.อินทัช รับรู้หรือเกี่ยวข้องกับการแก้ไขรายงานให้ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในการประชุมหรือไม่”

นายชัยธชัย กล่าวด้วยว่า ประเด็นที่กล่าวมาทั้งหมด เป็นแค่หนึ่งในข้อพิรุธที่นายพิธาได้เคยตั้งคำถามไว้ว่า นี่คือความพยายามฟื้นคืนชีพ ITV ให้กลับมาเป็นสื่อมวลชน เพื่อสกัดกั้นการตั้งรัฐบาลตามฉันทานุมัติประชาชนผ่านการเลือกตั้งหรือไม่ พฤติกรรมเช่นนี้อาจเข้าข่ายกระทำการอันเป็นเท็จ เพื่อจะแกล้งให้ผู้สมัคร ส.ส. ถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง มีความผิดตาม มาตรา 143 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. อีกด้วย

ข้อมูลที่มีนัยสำคัญประการที่ 2 คือความขัดแย้งระหว่างคลิปการประชุม กับแบบนำส่งงบการเงิน (สบช.3) ที่ ITV ยื่นต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เมื่อวันที่ 10 พ.ค. 66 รวมถึงเอกสารงบการเงินไตรมาสแรกของปี 66 ของ ITV ด้วย ข้อพิรุธประการนี้ หากพิจารณาใจความสำคัญของข้อความที่ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไข ในบันทึกการประชุมผู้ถือหุ้นของ ITV คือ แก้ไขคำตอบของนายคิมห์ ประธานในที่ประชุมต่อนายภาณุวัฒน์ จากบริษัทยังไม่มีการดำเนินการใด ๆ รอผลคดีความให้สิ้นสุดก่อน กลายเป็นบริษัทยังดำเนินกิจการอยู่ตามวัตถุประสงค์ของบริษัท มีการส่งงบการเงิน และยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคลตามปกตินั้น ข้อความที่ถูกเพิ่มเติมมา ไม่ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมแต่อย่างใด ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับแบบนำส่งงบการเงิน สบช.3 ที่ ITV ได้ยื่นต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าในวันที่ 10 พ.ค. ก่อนวันเลือกตั้งพียง 4 วัน และเป็นวันเดียวกันกับที่นายเรืองไกร ไปยื่นร้องต่อ กกต. หรือไม่

เมื่อพิจารณาแบบนำส่งงบการเงินดังกล่าวแล้ว เป็นงบการเงินรอบปีบัญชีสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธ.ค.65 จะพบว่า มีการระบุประเภทธุรกิจสื่อ ว่าเป็นสื่อโทรทัศน์ และระบุสินค้าหรือบริการว่า สื่อโฆษณาและผลตอบแทนจากการลงทุน ข้อความที่เปลี่ยนไปนี้ในงบการเงิน จากเดิมเอกสารงบการเงินของ ITV ในปีบัญชี 61-62 เคยระบุประเภทธุรกิจไว้ว่า กิจกรรมของบริษัทโฮลดิ้งที่ไม่ได้ลงทุนในธุรกิจการเงินเป็นหลัก ต่อมาในปีบัญชี 63-64 ระบุประเภทธุรกิจว่า สื่อโทรทัศน์ แต่ในส่วนสินค้าและบริการ ระบุว่า ปัจจุบันไม่ได้ดำเนินการเนื่องจากติดคดีความ นี่คือเอกสารในปีที่ผ่าน ๆ มา แต่ปีนี้สิ้นปี 65 กลับมีการแก้ไขข้อความที่น่าสงสัย โดยเติมมาว่า สินค้าหรือบริการเป็นสื่อโฆษณาด้วย

การเปลี่ยนแปลงในแบบ สบช.3 หลังสุดของ ITV ดังกล่าว ขัดแย้งกับการตอบของนายคิมห์ ประธานที่ประชุมผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 26 เม.ย. 66 ต่อข้อซักถามอีกข้อว่า ที่ผู้ถือหุ้นถามว่า หากมีคดีความต่าง ๆ จนเสร็จสิ้นเรียบร้อย บริษัทจะมีปันผลหรือไม่ บริษัทมีแผนดำเนินการธุรกิจต่อไปหรือจะเข้าตลาดหลักทรัพย์อีกหรือไม่ บริษัทมีแผนชำระบัญชี หรือกิจการคืนเงินแก่ผู้ถือหุ้นหรือไม่ ที่บอกว่าขัดแย้งกัน ระหว่างเอกสารงบการเงิน กับสิ่งที่เกิดขึ้นที่ประชุมผู้ถือหุ้น เพราะนายคิมห์ ตอบข้อซักถามดังกล่าวว่า ผลของคดีเป็นจุดสำคัญที่สุดของบริษัท ถ้าผลคดียังไม่ได้ออกมา มันเป็นไปได้ยากมากที่จะดำเนินการใด ๆ กับ ITV ณ ขณะนี้ อย่างในอดีตที่ผ่านมา ITV มีการว่าจ้างที่ปรึกษาการเงินมาดูทางเลือกต่าง ๆ ยังไม่มีทางเลือกใด ๆ ที่เหมาะสม ณ ขณะนี้ ฉะนั้นทั้งหมดทั้งมวลต้องรอผลของคดี ถ้าผลคดีสิ้นสุดลงแล้ว ทางบริษัทฯจะพิจารณาทางเลือกที่เหมาะสมให้กับผู้ถือหุ้นต่อไป ไม่ว่าการพิจารณาจ่ายเงินปันผลอย่างไร จะดำเนินธุรกิจต่อไปหรือไม่ อย่างไร หรือจะชำระบัญชีอย่างไร ทางเราจะพิจารณาทางเลือกที่มีอยู่ทั้งหมด และเลือกทางเลือกที่เหมาะสมให้กับผู้ถือหุ้นต่อไป นี่คือคำตอบของประธานในที่ประชุมผู้ถือหุ้นของ ITV

“คำตอบของนายคิมห์ ในที่ประชุมผู้ถือหุ้น แสดงให้เห็นว่า ณ วันที่ 26 เม.ย.66 นายคิมห์ ประธานที่ประชุมผู้ถือหุ้น และประธานกรรมการบริษัท มิได้ทราบข้อเท็จจริงที่ว่า ITV ประกอบกิจการสื่อโทรทัศน์ และมีรายได้จากสื่อโฆษณาแต่อย่างใด นายคิมเป็นประธานกรรมการบริษัท แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรว่า แบบ สบช.3 ปี 66 ที่ ITV นำส่งหลังประชุมผู้ถือหุ้นไม่กี่วันเมื่อ 10 พ.ค.66 จะระบุว่ารายได้ ITV ปี 65 มาจากสื่อโทรทัศน์ โดยสินค้าหรือบริการคือสื่อโฆษณา เป็นไปได้อย่างไร มิพักต้องพูดตอบผู้ถือหุ้นเรื่องแนวโน้มปิดบัญชีบริษัทหลังทราบผลคดีด้วยซ้ำ”

จากข้อพิรุธทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับรายงานงบแสดงฐานะการเงินไตรมาสแรกของปี 66 ของ ITV สามารถดาวน์โหลดได้ในเว็บไซต์ของบริษัท เพราะในหมายเหตุประกอบงบการเงินงวด 3 เดือนที่สิ้นสุด ณ 31 มี.ค.66 หน้าสุดท้าย ข้อ 10 มีการระบุว่า เมื่อวันที่ 24 ก.พ. 66 บริษัทฯมีการนำเสนอการลงสื่อให้กิจการที่เกี่ยวข้องกัน และเมื่อ 28 เม.ย.66 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 2/2566 มีมติรับทราบรูปแบบการดำเนินธุรกิจของบริษัท โดยเป็นผู้ให้บริการลงสื่อโฆษณา จากการที่บริษัทฯได้มีการให้บริการแก่บริษัทฯในกลุ่มข้างต้น บริษัทฯจะรับรู้รายได้ในไตรมาส 2/2566

คำถามง่าย ๆ คือว่า เป็นไปได้อย่างไรที่ ITV จะมีรายได้จากผู้ให้บริการสื่อโฆษณาในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ จะเป็นไปได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่ในวันประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น ในวันที่ 26 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ช่วงไตรมาส 2 เป็นช่วงเวลารายงานฐานะการเงิน นายคิมห์ ในฐานะประธานกรรมการบริษัทฯ ยังตอบผู้ถือหุ้นว่า ITV ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ต้องรอผลคดีความให้สิ้นสุดเสียก่อน และเป็นไปได้อย่างไรว่า หลังจากประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 26 เม.ย. ประธานในที่ประชุมได้ตอบว่า ยังไม่มีการดำเนินกิจการใด ๆ เกี่ยวกับสื่อ แต่หมายเหตุประกอบงบการเงินสำหรับไตรมาส 1/2566 กลับระบุว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท 2/2566 มีมติรับทราบรูปแบบการดำเนินธุรกิจของบริษัท โดยเป็นผู้ให้บริการลงสื่อโฆษณา โดยให้บริการแก่กลุ่มบริษัทข้างต้น

ชัดเจนว่าข้อความระบุในเอกสารงบการเงินที่พูดถึงทั้ง 2 ชิ้น ขัดแย้งกับสิ่งที่นายคิมห์กล่าวในที่ประชุมผู้ถือหุ้นอย่างชัดเจน ในการตอบคำถาม 2 ข้อ เพราะถ้า ITV มีแผนธุรกิจดังกล่าวจริง นายคิมย่อมต้องแจ้งในที่ประชุมผู้ถือหุ้นตั้งแต่ 26 เม.ย. แล้ว ถึงความเป็นไปได้ในการที่จะมีแผนธุรกิจใหม่ แต่ปรากฏว่าหลังจากการประชุมผู้ถือหุ้นเพียง 2 วัน คือ 28 เม.ย. คณะกรรมการบริษัทฯ กลับมีเอกสารบอกว่า มีมติรับทราบแผนธุรกิจใหม่ในช่วงไตรมาส 2/2566 และบริษัทจะรับรู้รายได้ภายในไตรมาส 2/2566 ซึ่งผิดวิสัยอย่างยิ่ง

“เรื่องทั้งหมดเห็นได้ว่า พฤติการณ์ข้อเท็จจริง การทำธุรกิจ การรับรู้การทำธุรกิจใหม่ ตามที่ปรากฏในเอกสารของ ITV นั้น มีความไม่สอดคล้องและขัดแย้งกันเอง กับสิ่งที่เกิดขึ้นในการประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งข่าวสามมิติได้เผยแพร่ไปแล้ว การดำเนินการเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในบันทึกรายงานการประชุมดังกล่าว ให้แตกต่างจากการตอบข้อซักถามตามคลิปการประชุม จึงไม่น่าจะใช่ความผิดพลาดโดยบังเอิญ หรือจัดทำเอกสารตามแบบแผนปกติ หากแต่เมื่อวิญญูชนได้ทราบพฤติการณ์ดังกล่าวแล้ว ย่อมสงสัยได้ว่า นี่เป็นการจงใจแก้ไขให้สอดรับกับบรรดาเอกสารต่างๆ ที่ได้ตกแต่งจัดทำขึ้นในภายหลัง ใช่หรือไม่”

สุดท้าย พรรคก้าวไกลขอยืนยันว่า เราจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องรักษาเสียงของประชาชนที่ผู้มีอำนาจสูงสุดของประเทศในระบอบประชาธิปไตยไว้ให้ได้ แม้จะมีความพยายามจากบุคคลบางกลุ่ม ที่ใช้ประเด็นหุ้น ITV เพื่อส่งศาลรัฐธรรมนูญสั่งหัวหน้าพรรคก้าวไกล หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. ให้ได้ ก่อนประชุมรัฐสภาเพื่อโหวตเลือกนายกฯ คนใหม่ พรรคก้าวไกลเชื่อมั่นว่า อำนาจของประชาชนจะได้รับชัยชนะในที่สุด และ กกต. รวมถึงองค์กรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ตามเจตจำนงของรัฐธรรมนูญ ประกอบกับบรรทัดฐานของศาลรัฐธรรมนูญ และศาลฎีกาที่ผ่านมา ส่วนกรณีที่ กกต. อาจจะดำเนินคดีกับนายพิธาในอนาคต ตามความผิดฐานรู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ตามมาตรา 151 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.พรรคก้าวไกลมั่นใจว่า ข้อกล่าวหานี้ไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอ เช่นเดียวกับอัยการสูงสุด ไม่สั่งฟ้องนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ไปแล้ว เมื่อ 30 พ.ย. 2565 ที่ผ่านมา ในคดีถือครองหุ้นบริษัท วีลัค มีเดีย จำกัด

“สำหรับการเปิดโปงขบวนการปลุกผี ITV ต้องขอบคุณการทำงานอย่างหนักของสื่อมวลชน โดยเฉพาะอดีตผู้สื่อข่าว ITV เก่า วันนี้เป็นการพิสูจน์แล้วว่า แม้ ITV จะยุติการดำเนินงานไปแล้วหลายปี แต่จิตวิญญาณสื่อมืออาชีพ ยังคงอยู่ในตัวผู้สื่อข่าวเหล่านั้นเสมอ” เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าว

ทั้งนี้ นายชัยธวัช ยังให้สัมภาษณ์หลังการแถลงกรณีแถลงข่าวถึงกรณีคลิปการประชุมผู้ถือหุ้น ถือว่าเป็นหลักฐานใหม่ที่พรรคก้าวไกลไม่เคยมีมาก่อนและจะนำข้อมูลยื่นต่อ กกต. เพิ่มเติมหรือไม่ โดยนายชัยธวัช กล่าวว่า เนื่องจากเรายังไม่ได้รับหนังสือจาก กกต. จึงยังตอบไม่ได้ ส่วนเอกสารหลักฐานต่างๆ ก็ต้องตอบว่าเราได้ติดตามมาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว จึงมีความมั่นใจมาโดยตลอดว่าไม่มีปัญหาเรื่องคดีหุ้นไอทีวีแต่อย่างใด  

เมื่อถามว่าหลักฐานนี้จะสามารถไปหักล้างกรณีที่นายพิธาถือหุ้น ITV ได้หรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า คิดว่ามีส่วนสำคัญ และทำให้สังคมได้เห็นว่าเรื่องนี้ ไม่ใช่การพยายามที่จะปกป้องเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ที่ไม่ต้องการให้นักการเมืองไปมีส่วนในการครอบงำสื่อมวลชนเพื่อผลประโยชน์ในทางการเมือง แต่เป็นขบวนการที่พยายามหาเงื่อนไขมาขัดขวางการจัดตั้งรัฐบาลตามฉันทานุมัติของประชาชน นี่คือนัยสำคัญ  

เมื่อถามว่าเบื้องต้นในเรื่องการถือหุ้นกับหลักฐานตัวนี้มันอาจจะไม่ได้หักล้างได้โดยตรง เพราะมีการถือหุ้นอยู่จริง การออกเอกสารมาภายหลังนี้ จะสามารถไปแย้งอย่างไรได้บ้าง นายชัยธวัช กล่าวว่า ถ้าฟังดีๆ จะมีเนื้อหาบางส่วนที่มีนัยสำคัญมากในการพิสูจน์วินิจฉัยว่า ตกลงไอทีวียังคงดำเนินธุรกิจสื่อมวลอยู่หรือไม่ และอาจจะนำไปสู่การฟ้องร้องดำเนินคดีกับขบวนการปลุกผีไอทีวีโดยมิชอบด้วยกฎหมายหลายราย เมื่อถามว่าพรรคจะมีการดำเนินคดีเรื่องการทำเอกสารเท็จหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า กำลังพิจารณาอยู่ 

เมื่อถามว่าคลิปนี้พรรคไม่เคยมีมาก่อนใช่หรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ได้เห็นพร้อมกับพี่น้องประชาชนทั่วประเทศพร้อมกัน ต่อข้อถามว่าข้อมูลที่พรรคก้าวไกลรวบรวมไว้ตอนนี้พอจะทราบว่าใครอยู่เบื้องหลังขบวนการนี้ได้หรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า คิดว่าเวลานี้ยังเร็วไปที่จะไปกล่าวหาใครคนใดคนหนึ่ง แต่คิดว่าพี่น้องประชาชนสามารถที่จะคาดการณ์ได้จากพฤติการณ์ต่างๆ ว่ามีใครบ้างเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เมื่อถามว่าพรรคก้าวไกลเห็นแล้วใช่หรือไม่ว่ามีใครเกี่ยวข้องบ้าง นายชัยธวัช กล่าวว่า “ก็เห็นครับ”  

เมื่อถามว่าจากความพยายามสอบถามเรื่องความเป็นสื่อของ ITV ในที่ประชุม เป็นความพยายามในเรื่องการสร้างหลักฐานเท็จหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า อย่างที่แถลงไปว่าพฤติการณ์ต่างๆ มันทำให้เกิดข้อสงสัยได้ว่า มีความตั้งใจหรือวางแผนไว้แต่ต้นหรือไม่ ที่จะมีการชงคำถามเพื่อให้มีคำตอบในที่ประชุมผู้ถือหุ้น ว่ายังดำเนินธุรกิจสื่อมวลชนอยู่ แต่ปรากฏว่าไม่ได้รับคำตอบที่อยากได้ รายงานการประชุมจึงถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงไปอีกแบบหนึ่ง  

ผู้สื่อข่าวถามว่าความพยายามนี้มีพรรคการเมืองอยู่เบื้องหลังหรือไม่ เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ยังไม่ทราบ ส่วนจะดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องเมื่อไรนั้น นายชัยธวัช กล่าวว่า ต้องรอข้อกฎหมายและความชัดเจนของพยานหลักฐานอีกครั้ง เรื่องมันอาจจะยังไม่จบแค่นี้ ใจเย็นๆ เมื่อถามว่าจะดำเนินคดีคนที่ไปร้องต่อองค์กรต่างๆ หรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ตาม พ.ร.ป.การเลือกตั้ง ส.ส. มีฐานความผิดอยู่ ถ้าใครมีเจตนากระทำการที่จะกลั่นแกล้งให้ผู้ที่ลงสมัคร ส.ส. คนใดคนหนึ่งมีคุณสมบัติขัดต่อกฎหมาย อันนี้ก็จะมีความผิดตาม พ.ร.ป.การเลือกตั้ง ส.ส. อยู่แล้ว ถ้ามีความชัดเจนพรรคจะดำเนินการแน่นอน  

เมื่อถามถึงกรณีนายสมชัย ศรีสุทธิยากร นักวิชาการตั้งข้อสังเกตว่าคลิปอาจมีการกระตุก และนายนิกม์ แสงศิรินาวิน ผู้สมัคร ส.ส.พรรคภูมิใจไทย ระบุว่าเนื้อหาในคลิปเป็นคนละเรื่องและคนละช่วงกัน นายชัยธวัช กล่าวว่า ตนเข้าใจว่าเรื่องนี้ น.ส.ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้สื่อข่าว 3 มิติ ได้มีการตอบคำถามไปแล้ว ว่าคลิปนี้ไม่ได้มีการตัดต่อแต่อย่างใด แต่ให้ดีที่สุดบริษัทซึ่งมีผู้ถือหุ้นใหญ่คือ บมจ.อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด ควรจะรีบเปิดคลิปเต็มของการประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อให้สังคมหายสงสัยโดยเร็วที่สุด ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะชะลอการเปิดคลิปอันนี้ออกมาแม้แต่วินาทีเดียว  

เมื่อถามว่าที่บอกว่ารู้ว่ามีคนอยู่เบื้องหลังแล้วมีประมาณกี่กลุ่ม นายชัยธวัช กล่าวว่า อันนี้เป็นข้อสงสัย ยังไม่มีข้อสรุป ส่วนเป็นอดีตผู้สมัครพรรคอนาคตใหม่หรือไม่นั้น นายชัยธวัช กล่าวว่า ตนคิดว่านั่นตัวเล็กไป เมื่อถามว่ามีใหญ่กว่านั้นอีกหรือ นายชัยธวัช พยักหน้าพร้อมกล่าวว่า “ครับ”  

เมื่อถามว่าล่าสุดนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ระบุว่าคลิปดังกล่าวไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงว่าไอทีวีเป็นกิจการสื่อ นายชัยธวัช กล่าวว่า ใช่ เพราะมันเกี่ยวข้องกับเอกสารอีกหลายชิ้นที่ตนพูดถึง ซึ่งมีข้อสงสัยว่ามีการสร้างเอกสารเท็จย้อนหลังหรือไม่ด้วย คราวนี้โจทก์ก็อาจกลายเป็นผู้ต้องหา ผู้ต้องหาก็อาจจะกลายเป็นโจทก์ก็ได้  

เมื่อถามว่าที่ระบุว่าตัวเล็กไปขบวนการนี้เป็นคนที่ไม่ได้อยู่ฝั่งประชาธิปไตยใช่หรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า อย่าเพิ่งรีบสรุป ตนคิดว่าเดี๋ยวเรารอดูการสรุปข้อเท็จจริง ซึ่งหลังจากนี้อาจจะมีข้อเท็จจริงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะข้อเท็จจริงที่มาจากฝั่งบริษัทไอทีวีเองและบุคคลที่เกี่ยวข้อง ถ้าเรื่องนี้ตรงไปตรงมาจริงๆ ไม่มีอะไรอยู่เบื้องหลัง ก็ไม่มีเหตุผลที่จะชะลอการชี้แจงและเปิดเผยเอกสารหลักฐานทั้งหมด รวมทั้งคลิปฉบับเต็มออกมาจากไอทีวี 

เมื่อถามว่ามองว่าเรื่องนี้จะมีผลต่อการตัดสินใจโหวตเลือกนายกฯ ของ ส.ว. หรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ถ้าเรื่องนี้กระจ่าง ก็จะไม่มีข้ออ้างเรื่องนี้ในการใช้ประกอบการตัดสินใจโหวตเลือกนายกฯ คนใหม่ เมื่อถามว่าพรรคมีเอกสารอื่นที่จะแสดงความบริสุทธิ์ของนายพิธา ในเรื่องหุ้นสื่ออีกหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า มี แต่รอรายละเอียดอื่นๆ ก่อน ตอนนี้เรื่องรายละเอียดการต่อสู้ทางกฎหมายต้องรอว่าทาง กกต. จะมีการส่งเรื่องมาทางพรรคอย่างไรหรือไม่  

เมื่อถามถึงกรณีที่ทาง บมจ.อินทัชฯ ตั้งกรรมการตรวจสอบ ซึ่งคนตรวจสอบคือนายนายคิมห์ สิริทวีชัย กรรมการผู้อำนวยการ บมจ. อินทัชฯ ซึ่งเป็นนั่งเป็นประธานบอร์ดทั้งของอินทัชฯ และไอทีวีด้วย มันจะสร้างความโปร่งใสเรื่องนี้ออกมาได้อย่างไร นายชัยธวัช กล่าวว่า ยังไม่เห็นรายละเอียดในเรื่องนี้ จึงขออนุญาตไม่แสดงความคิดเห็น อย่างไรก็ตามคิดว่าตอนนี้สังคมกำลังรอคำตอบจากไอทีวี รวมถึงผู้บริหารสายงานกฎหมายของอินทัชที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบรายงานการประชุม และอีกหลายๆ คนที่อาจจะเกี่ยวข้องกับเอกสารงบการเงินของบริษัทไอทีวีด้วย หวังว่าเรื่องนี้จะนำไปสู่ความกระจ่างว่า มีขบวนการการทางการเมืองที่หวังผลใช้ไอทีวีเป็นเงื่อนไขเพื่อลบล้างเสียงของประชาชนในการเลือกตั้งหรือไม่