เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.30 น.ที่ผ่านมา พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษพร้อมด้วยนายทวีวัฒน์ สุรสิทธิ์ ผอ.กองคดีความมั่นคง รอง ผอ.กองคดีความมั่นคง ผอ.ส่วนกองคดีความมั่นคง คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 295/2565 สนธิกำลังร่วมกับจังหวัดภูเก็ต เจ้าหน้าที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าและเจ้าหน้าที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ลงพื้นที่เข้าทำการตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย เป็นบริษัทสำนักกฎหมาย รับทำบัญชีที่มีพฤติการณ์รับจดทะเบียนให้บริษัทต่างชาติ เพื่อประกอบธุรกิจอันผิดกฎหมายนอมินี จำนวน 3 จุด มีพฤติการณ์รับจ้างจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทจำกัดให้แก่คนต่างด้าว โดยใช้ชื่อของลูกจ้างในสำนักงานถือหุ้นแทนคนต่างด้าวจำนวนเกือบ70 บริษัท อันเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว มูลค่าความเสียหายเบื้องต้นยังไม่สามารถคำนวณเป็นตัวเงินได้ แต่คาดว่าบริษัทฯ นอมินีดังกล่าว อาจจะไปประกอบธุรกิจต้องห้ามทำให้เกิดความเสียหายในระบบเศรษฐกิจได้เป็นจำนวนมาก

ผลการตรวจค้นพบว่า มีการจัดให้เจ้าหน้าที่ของบริษัท เข้าเป็นผู้ถือหุ้นในลักษณะนอมินีของชาวต่างชาติ และจากข้อมูลในการตรวจค้นครั้งนี้ พบบริษัทฯ ที่ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 44 บริษัท การท่องเที่ยว 8 บริษัทและการบริการอื่นอีก 14 บริษัท ที่ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทั้ง 44 บริษัท มีมูลค่าการถือครองอสังหาริมทรัพย์10-20 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าประมาณ 440 ล้านบาท ในการทำธุรกิจขายอสังหาริมทรัพย์ จะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนผู้ถือหุ้นที่มิได้มีโอนขายเปลี่ยนแปลงทางสำนักงานที่ดิน ทำให้รัฐสูญเสียภาษีและค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมเหล่านี้ ต่อครั้งประมาณ 8% ในแต่ละครั้ง รัฐต้องสูญเสียการทำรายได้จากค่าธรรมเนียม ประมาณ 35 ล้านบาท กรณีนี้จะมีการตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกต่อไปว่ามีการเปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้ถือหุ้น ลักษณะเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์แทนกี่ครั้ง หากยิ่งมีการเปลี่ยนแปลงการทำธุรกรรมกับกรมที่ดินหลายครั้ง โดยเบื้องต้นทำให้รัฐสูญเสียรายได้ไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท

นอกจากนี้ พ.ต.ต.สุริยา อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า การลงพื้นที่ในวันนี้ เป็นการบูรณาการและได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตหลายภาคส่วน ทั้งจากจังหวัดภูเก็ต โดยนายอำนวย พิณสุวรรณ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ มีนโยบายให้เจ้าหน้าที่เร่งรัดปราบปรามให้ทุกจังหวัดทั่วประเทศไทย เนื่องจากกรณีดังกล่าวเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและระบบเศรษฐกิจของประเทศอย่างร้ายแรง เป็นการตัดโอกาสในการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการสัญชาติไทย ทำให้ไม่สามารถแข่งขันในทางธุรกิจได้อย่างเป็นธรรม ทั้งนี้ อธิบดีดีเอสไอ ยังได้สอบถามพนักงานในพื้นที่เป้าหมายว่า รู้หรือไม่ว่าการกระทำเช่นนี้ถือเป็นความผิด และรู้อัตราโทษหรือไม่ คุ้มหรือไม่กับเงินจำนวน 35,000 บาท ซึ่งพนักงานหญิงภายในพื้นที่เป้าหมายรายหนึ่งตอบกลับอธิบดีดีเอสไอสั้นๆว่า รู้ค่ะ

จากนั้นในเวลา 15.00 น. อธิบดีดีเอสไอ พร้อมด้วย ผอ.กองคดีความมั่นคง ได้ประชุมหาร่วมกันกับรองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต โดยมีแนวทางจะพิจารณาร่วมกันหามาตรการและแนวทางทั้งในเชิงป้องกันและปราบปราบเพื่อลดความเสียหายเชิงเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในการทำธุรกิจของบริษัทต่างด้าวในรูปแบบนอมินี ทั้งนี้ จากการหารือทางจังหวัดภูเก็ตจะร่วมกับภาคธุรกิจ เช่น หอการค้าจังหวัด จัดเวทีทำความเข้าใจในลักษณะการประกอบธุรกิจของชาวต่างชาติ เพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมายไทย โดยเชิญกรมสอบสวนคดีพิเศษ เข้าร่วมในเวทีดังกล่าวด้วย.