เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท. พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบก.ปอท. พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ ผกก.2 บก.ปอท. ร่วมแถลงข่าวรวบหัวหน้าแก๊งหลอกลงทุน-คอลเซ็นเตอร์ชาวจีน พร้อมเครือข่ายในประเทศไทย ได้ผู้ต้องหา 11 ราย พร้อมตรวจยึดทรัพย์สินกว่า 30 รายการ รวมมูลค่ากว่า 5 ล้านบาท

พล.ต.ต.อธิป เปิดเผยว่า ต้นปีที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับการร้องเรียนจากทางสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ว่ามีกลุ่มมิจฉาชีพได้นำชื่อสำนักทรัพย์สินฯ ไปแอบอ้างเปิดเว็บไซต์หลอกลวงประชาชนให้นำเงินมาลงทุนในหุ้นทองคำ โดยใช้ชื่อเว็บไซต์ว่า Royal Gold ซึ่งระหว่างเดือน ม.ค. ถึง พ.ค. มีผู้เสียหายหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อกว่า 2,000 ราย รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 500 ล้านบาท จึงมอบหมายให้ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก.และ บก.ปอท. สืบสวนติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดี

พ.ต.อ.เนติ กล่าวว่า จากการสืบสวนตำรวจ กก.2 บก.ปอท. พบกลุ่มมิจฉาชีพใช้บัญชีเฟซบุ๊กปลอมเป็นหญิงสาวหน้าตาดีแฝงตัวเข้าไปตีสนิทพูดคุยกับผู้เสียหายในเชิงชู้สาว ก่อนชวนลงทุนในหุ้นทองคำผ่านเว็บไซต์ที่สร้างปลอมขึ้นมาคล้ายเว็บไซต์เทรดหุ้น มีกราฟแสดงมูลค่าของหุ้นตลอดเวลาเพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ ซึ่งในช่วงแรกคนร้ายแกล้งคืนเงินต้นและให้ผลตอบแทน 10% ของจำนวนเงินลงทุน โดยมีการแสดงยอดเงินลงทุนและผลตอบแทนในเว็บไซต์ จึงยิ่งทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อและกล้าลงทุนเพิ่มมากขึ้น แต่เมื่อจะถอนเงินในภายหลัง มิจฉาชีพจะหลอกผู้เสียหายเสียให้ชำระค่าดำเนินการและเสียภาษี ก่อนจะบล็อกทุกช่องทางการติดต่อ

พ.ต.อ.เนติ กล่าวต่อว่า มิจฉาชีพกลุ่มนี้มีการกระทำผิดเป็นขบวนการ ตั้งแต่ระดับหัวหน้าเครือข่ายที่มีหน้าที่ควบคุมสั่งการศูนย์ปฏิบัติการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของบ่อนกาสิโน “คิงส์โรมัน” ใน สปป.ลาว ลงไปจนถึงคนรวบรวมบัญชีม้าและคนรับจ้างเปิดบัญชีม้า มีเงินหมุนเวียนกว่า 3,000 ล้านบาท จึงได้ขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับ 15 มิจฉาชีพเครือข่ายนี้ ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชนฯ, ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลบิดเบือนฯ และร่วมกันฟอกเงินและสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้แล้ว 11 ราย มีนายเถิง จวิ้น สัญชาติจีน หัวหน้าเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์รวมอยู่ด้วย

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ กล่าวว่า จากการสืบสวนเพิ่มเติมพบว่า เมื่อผู้เสียหายโอนเงินเข้าไปยังบัญชีม้าแล้ว เงินทั้งหมดจะถูกนำไปซื้อเหรียญดิจิทัล ก่อนจะเริ่มเข้าสู่กระบวนการฟอกเงินโดยยักย้ายถ่ายเทในเครือข่ายกระเป๋าเหรียญดิจิทัลที่มีกว่าร้อยกระเป๋า แต่ท้ายที่สุด คนร้ายก็จะโอนเหรียญดิจิทัลทั้งหมดเข้ากระเป๋าเงินดิจิทัลของกลุ่มผู้บริหารแลกกลับมาเป็นเงินไทย ก่อนส่งให้หัวหน้าเครือข่าย ซึ่งหลังจากนี้ตำรวจ ปอท. จะได้ติดตามจับกุมผู้ต้องหาที่เหลือพร้อมขยายผลต่อไป.